นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ เลขานุการกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยนางสาวพรรณิการ์ วานิช ที่ปรึกษากมธ. และนายรอมฎอน ปันจอร์ กมธ. ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังพิจารณาปัญหาคลิปเสียงระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร และสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศและความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน และกรณีคลิปเสียงที่มีการสั่งฆ่าคนกัมพูชาซึ่งเป็นฝ่ายค้านรัฐบาลกัมพูชาบนแผ่นดินไทย ซึ่งนายชุติพงศ์ กล่าวว่าที่ประชุมได้เชิญผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล ประกอบด้วย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร แต่ไม่สามารถมาร่วมประชุมได้สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
นางสาวพรรณิการ์ กล่าวว่าประเด็นหลักที่ถูกนำมาซักถามในที่ประชุมครั้งนี้คือประเด็นเกี่ยวกับคลิปเสียง ที่ผ่านการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าเป็นเสียงของสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา จริง มีเนื้อหาสั่งให้บุคคลชื่อ เคลียง ฮวด ประสานกับตำรวจไทยเพื่อจับกุมตัวฝ่ายค้านและผู้เห็นต่างรัฐบาลกัมพูชาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยทั้งจับเป็นและจับตาย ทั้งนี้คณะกมธ.ได้เชิญ นายพรอน ปันนา ซึ่งเป็นบุคคลที่ปรากฏเสียงของสมเด็จฮุน เซ็น กล่าวถึงในคลิป ว่าต้องจับกุมตัวให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ปัจจุบันนายพรอน ลี้ภัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา และนายสวน จำเริญ ลี้ภัยอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์ สำหรับนายพรอน ปันนา เคยเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย ณ จังหวัดระยอง และถูกทำร้ายร่างกาย ได้ลงบันทึกประจำวันไว้ที่สถานีตำรวจภูธรบ้านฉาง ประเด็นนี้คณะกมธ.จะติดตามต่อไปว่าคดีมีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง ส่วนนายสวน จำเริญ เคยถูกทำร้ายที่อพาร์ทเม้นท์ของตนเอง ในพื้นที่สถานีตำรวจนครบาลดินแดง แต่ท้ายที่สุดตนเองสามารถหลบหนีมาได้ อย่างไรก็ตาม 2 กรณีนี้ ถือเป็นข้อเท็จจริงที่สอดคล้องกับคลิปเสียงที่สมเด็จฮุน เซน ได้สั่งให้บุคคลชื่อเคลียง ฮวดประสานกับตำรวจไทยในการไล่ล่าตัว ทั้งนี้มีการตั้งข้อสังเกตถึงความเป็นไปได้ว่าอาจมีรูปแบบของการแลกเปลี่ยนการจับกุมตัวผู้ลี้ภัยระหว่างทางการไทยกับทางการกัมพูชา นอกจากนี้คณะกมธ.ยังรับทราบว่านายเคลียง ฮวด อาจมีบัตรประจำตัวประชาชน หรือมีสัญชาติไทย และมีทรัพย์สินอยู่ในประเทศไทยด้วย โดยประเด็นนี้คณะกมธ.จะประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสืบสวนและขยายผลต่อไป และคณะกมธ. ยังมีข้อสังเกตเกี่ยวกับรายละเอียดของคลิปเสียง อาจผิดตามหมวดที่ 3 ของประมวลกฎหมายอาญา ได้แก่ ความผิดต่อความมั่นคงนอกราชอาณาจักร ถือเป็นการทำให้ส่วนหนึ่งส่วนใดของอำนาจอธิปไตยของไทยสูญเสียให้แก่รัฐบาลต่างชาติ โดยผู้นำของต่างชาติเข้ามามีปฏิบัติการในประเทศไทย และอาจเข้าข่ายการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 ซึ่งอาจต้องดำเนินการกับนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
นางสาวพรรณิการ์ กล่าวด้วยว่าประเด็นการดำเนินการในระดับกฎหมายระหว่างประเทศกับสมเด็จฮุน เซน ในเรื่องนี้ ผู้แทนของกระทรวงต่างประเทศยอมรับว่ามีอยู่ระหว่างการพิจารณาศึกษา ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคลิปเสียง ขณะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่าจะนำคลิปเสียงมาตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์อีกครั้ง พร้อมกับระบุว่าไม่มีความเกี่ยวข้องหรือมีความร่วมมือกับนายเคลียง ฮวด แต่อย่างใด ส่วนสภาความมั่นคงแห่งชาติยอมรับว่ามีปฏิบัติการของต่างชาติที่เข้ามาเป็นภัยคุกคามหรือมีปฏิบัติการตามล่าบุคคลในชาติของตัวเอง ในประเทศไทยจริง ซึ่งสภาความมั่นคงแห่งชาติถือว่าเป็นภัยคุกคาม แต่ยังไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้มากพอและไม่ทราบว่าปฏิบัติการเหล่านี้มีรายละเอียดอย่างไร
นางสาวพรรณิการ์ ยังเปิดเผยถึงข้อกังวลของคณะกมธ.ถึงกรณีคลิปเสียงนายกรัฐมนตรี สนทนากับสมเด็จฮุน เซน ว่าไม่แน่ใจว่ามีคลิปเสียงสนทนาส่วนตัวระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย กับผู้นำต่างชาติชาติอื่น ๆ อีกหรือไม่ หากมีนายกรัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องต้องแจ้งให้หน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบรับทราบเพื่อเตรียมความพร้อม เพราะอาจจะกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือความมั่นคงของประเทศอันเกิดจากการดำเนินการทางการทูตที่ไม่ถูกต้อง ด้านนายชุติพงศ์ เพิ่มเติมถึงกรณีการสืบสวนและเชื่อมโยงกรณีนายเคลียง ฮวด ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน แต่มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นบุคคลที่ถือสัญชาติไทย เส้นทางคณะกมธ. จะประสานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ดำเนินการตรวจสอบต่อไป นอกจากนี้คณะกมธ.มีกำหนดการเดินทางลงพื้นที่ชายแดนไทย - กัมพูชา ณ จังหวัดสระแก้ว พร้อมกับนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) วันที่ 6 - 7 กรกฎาคมนี้ด้วย
ณัฐเดช เอียดปุ่ม /ข่าว /เรียบเรียง