5 มิ.ย. 68 - ปธ.กมธ.ความมั่นคงฯ สภาผู้แทนราษฎร ชี้ทุนจีนทำเหมืองผิดกฎหมาย คือต้นเหตุปัญหาสารพิษแม่น้ำกก จี้รัฐเร่งแก้ปัญหาหวั่นเกิดซ้ำในพื้นที่อื่น  พร้อมเรียกร้องรัฐบาลกำหนดท่าทีชัดเจนก่อนเจรจาไทย-กัมพูชา 14 มิ.ย.นี้ หวั่นไทยเสียเปรียบหากขาดอำนาจต่อรอง

image

            นายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าประชุม กมธ.เพื่อพิจารณาปัญหาสารพิษแม่น้ำกก ว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ไม่เพียงมีผลกระทบในมิติความมั่นคงเท่านั้น แต่ยังกระทบชุมชน สุขภาพประชาชน และสิ่งแวดล้อม  ปัญหาใหญ่ของแม่น้ำกกคือการมีสารหนูปนเปื้อน รวมทั้งสารอันตรายอื่นๆ สาเหตุจากกองกำลังว้าให้พื้นที่กลุ่มจีนเทามาทำเหมืองในพื้นที่ที่ยึดครอง ซึ่งเป็นการทำเหมืองโดยที่ไม่ได้สนใจว่าจะส่งผลกระทบต่อคนไทยอย่างไร อีกทั้งแนวโน้มของการกระทำลักษณะนี้ ยังอาจขยายตัวไปเรื่อยๆ ขณะที่จากการลงพื้นที่ มองว่าแนวทางการแก้ปัญหา คือต้องหาวิธีการให้สารหนูไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนมากไปกว่านี้ ซึ่งการทำฝายอาจเป็นหนึ่งวิธีที่เป็นไปได้ในการช่วยแก้ปัญหา แต่สิ่งที่ต้องคิดต่อคือเรื่องของตะกอนที่ต้องนำไปบำบัด ต้องทำอย่างละเอียดรอบคอบ ส่วนการแก้ปัญหาระยะยาว คือการแก้ปัญหาเรื่องกองกำลังว้าและกลุ่มทุนจีน ที่แม้จะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้กระทบต่อคนไทยแต่คนกลุ่มนี้กลับไม่สนใจประเทศไทย เพราะต้องยอมรับว่าที่ผ่านมานโยบายด้านต่างประเทศและนโยบายด้านความมั่นคงของไทย ไม่ได้ทำให้ใครต้องเกรงใจประเทศไทย ตนไม่ได้สนับสนุนเรื่องของการเผชิญหน้าด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่ที่ผ่านมาทั้งการทูตการเจรจาความมั่นคงสะท้อนชัดว่าไทยไม่สามารถทำให้ประเทศอื่นรู้สึกว่าต้องคำนึงผลกระทบของคนไทย และจนถึงเวลานี้รัฐบาลยังไม่มีการแก้ปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรม ปล่อยให้กองกำลังว้าทำเหมืองผิดกฎหมาย แม้รัฐบาลจะเคยมีการสั่งการแก้ไขเรื่องนี้ แต่ผลที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นไปตามนั้น คณะกรรมาธิการฯ จึงมองว่าต้องมีการพิจารณาศึกษาหาแนวทางแก้ปัญหาในเรื่องนี้ว่าจะมีมาตรการจากเบาไปหนักแก้ปัญหาอย่างไร ไม่เช่นนั้นปัญหาเรื่องเขาไม่เกรงใจเราจะส่งผลกระทบแบบนี้เกิดขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งกลุ่มว้าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่ง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าในพื้นที่อื่นๆจะเกิดปัญหาในลักษณะเดียวกันขึ้นอีก จึงต้องเร่งหามาตรการแก้ปัญหา ก่อนที่ผลกระทบจะขยายเป็นวงกว้างมากไปกว่านี้
             นายรังสิมันต์ กล่าวถึงประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ว่าประชาชนกำลังจับตารอดูท่าทีของรัฐบาล และที่สำคัญคือก่อนวันที่ 14 มิ.ย. นี้ ที่จะมีการเจรจากับกัมพูชา ไทยจะสร้างอำนาจต่อรองได้อย่างไร เพราะหากไปเจรจาโดยไม่มีอำนาจในการเจรจาต่อรอง ไม่ว่าจะอยู่ในเวทีใดไทยจะเสียเปรียบเสมอ จึงต้องสื่อสารต่อประชาชนเพื่อสร้างความมั่นใจและความชัดเจนว่า สายสัมพันธ์ส่วนตัวจะไม่มีวันอยู่เหนือผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน และไทยต้องมีแต้มต่อทางการเมืองมากกว่านี้  ในการกระทำใดๆ รัฐบาลต้องคิดเสมอว่าไทยได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์อย่างไร พร้อมย้ำว่า ในการเจรจานั้นไม่มีใครทราบในรายละเอียดว่าเจรจากันอย่างไร แต่อย่างน้อยที่สุดกลไกที่ควรจะได้รับความเชื่อมั่น คือการชี้แจงกับประชาชนเป็นระยะ เพราะเป็นประเด็นที่ประชาชนมีคำถาม จึงควรนำโอกาสนี้มาสร้างความชัดเจนให้ประชาชนทราบ ซึ่งเรื่องนี้เป็นการเมืองระหว่างประเทศ ตนหวังว่ารัฐบาลจะมองผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ และขอให้ใช้ทุกกลไกที่มีอยู่ในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ ขอให้มองปัญหานี้ทุกมิติ อย่างไรก็ตามผลการเจรจาจะเป็นอย่างไรตนไม่ขอทำนาย แต่ทุกการกระทำของรัฐบาลและฝ่ายค้าน ล้วนเป็นโอกาสที่จะทำให้ประชาชนใช้ในการตัดสิน หากรัฐบาลแก้ปัญหาเรื่องนี้ไม่ดี เชื่อว่าจะมีผลกระทบเกิดขึ้น ทั้งนี้ขอให้รอดูว่าเรื่องนี้จะจบอย่างไร
            นายรังสิมันต์ โรม กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนเองในฐานะประธาน กมธ.ความมั่นคงฯ พยายามใช้กลไก กมธ. สนับสนุนงานฝ่ายความมั่นคงเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งวันที่ 12 มิ.ย นี้ ได้นัดประชุมลับ โดยมีเฉพาะ คณะ กมธ. และฝ่ายความมั่นคงที่จะมาประชุมหารือสู่แนวทางแก้ปัญหาต่อไป

อรพรรณ ขันทองคำ ข่าว/เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ