การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจากรณีเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ตามที่พรรคการเมืองต่างๆ ได้ร่วมยื่นญัตติด่วนเพื่อหาแนวทางคลี่คลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยในส่วนของพรรคประชาชน มีนายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ เป็นผู้ยื่นญัตติ พร้อมอภิปรายข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลในกรณีดังกล่าวว่า ตนขอใช้โอกาสนี้ให้กำลังใจประชาชนที่ได้รับผลกระทบ และขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวที่สูญเสีย รวมถึงขอให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่แนวหน้าไม่ว่าจะเป็นฝ่ายทหารหรือพลเรือน วันนี้โจทย์ที่สำคัญที่สุดลำดับแรกคือกัมพูชาต้องการอะไร กัมพูชาต้องการพาประเทศไทยขึ้นสู่ศาลโลก พยายามทำทุกวิถีทาง โดยหนึ่งในวิธีการที่กัมพูชาเชื่อว่าจะนำไทยไปสู่ศาลโลกได้ คือ การมีเหตุรุนแรงระหว่างสองประเทศ กัมพูชาไม่ได้ต้องการใช้อาวุธเพื่อเอาชนะ แต่เพื่อสร้างภาพให้ไทยเป็นประเทศที่ก้าวร้าวและรังแกกัมพูชาให้ได้ ที่ผ่านมาตนขอชื่นชมในความอดทนอดกลั้นของทุกฝ่าย ในการหาทางออกโดยใช้กลไกทวิภาคีและการเจรจา แต่ต้องยอมรับว่าการที่ผู้นำกัมพูชาไม่ได้ให้คุณค่าต่อชีวิตมนุษย์ และพร้อมใช้วิธีการต่างๆ ให้นำไปสู่การขัดกันทางอาวุธอย่างที่เกิดขึ้นวันนี้ (24 ก.ค. 68) ทำให้กลไกในการแก้ไขความขัดแย้งอย่างสันติเกิดขึ้นยากมากขึ้น ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องตอบโต้ เป็นสถานการณ์ที่ประเทศไทยไม่มีทางเลือกเป็นอื่น และการตอบโต้ตามที่ได้มีการวางแผนของฝ่ายความมั่นคงคือเพื่อปกป้องประเทศไทยและชีวิตของประชาชนชาวไทย เราไม่อยากให้สถานการณ์นี้เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องปกป้องประเทศชาติของเราอย่างเต็มที่
นายรังสิมันต์ ได้มี 6 ข้อเสนอหลักที่จะเป็นประโยชน์ต่อการคลี่คลายสถานการณ์ ได้แก่ 1.การตอบโต้มีความจำเป็น แต่ต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ของไทยในสายตาต่างประเทศด้วย โดยมุ่งโจมตีเฉพาะเป้าหมายทางทหาร หลีกเลี่ยงพลเรือน 2.เตรียมรองรับการอพยพในพื้นที่ชายแดนทุกจังหวัด ข้าราชการทุกภาคส่วนต้องมีบทบาทสนับสนุนให้เกิดการอำนวยความสะดวกให้ผู้อพยพให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด แผนการเร่งด่วนต้องรีบออกและต้องมีประสิทธิภาพ 3.การแจ้งเตือน ต้องเร่งพัฒนาระบบเซลล์บรอดแคสต์ให้พร้อมใช้งาน 4.การใช้กลไกระหว่างประเทศ โดยใช้ทูตต่างประเทศเป็นสักขีพยาน โดยประเทศไทยต้องใช้กลไกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) และสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) เมื่อสถานการณ์มาถึงขั้นนี้ ประเทศไทยโดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศต้องดำเนินการยื่นเรื่องถึง UNSC อย่างเร่งด่วน เพราะชัดเจนแล้วว่ากัมพูชามีการโจมตีเป้าหมายพลเรือนและกลุ่มเปราะบางที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสู้รบได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด 5. การเผยแพร่ข้อมูลมี ต้องระมัดระวังการรายงานข่าวที่อาจเปิดเผยข้อมูลทางทหาร และ 6. กลยุทธ์โบราณสถาน โดยกัมพูชาใช้โบราณสถานซึ่งบางส่วนเป็นมรดกโลกเป็นเกราะคุ้มกันตัวเอง เมื่อไทยโจมตีพลาดไปโดนโบราณสถาน จะเป็นเรื่องใหญ่ในเวทีโลก และกัมพูชาจะใช้เรื่องนี้ในการเพิ่มน้ำหนักในการดึงประเทศไทยเข้าสู่ศาลโลกต่อไป
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อไปว่าทั้งหมด 6 ข้อที่ตนได้นำเสนอไปหวังว่าจะเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา ตนยอมรับว่านำเสนอญัตตินี้ด้วยความยากลำบาก หลายส่วนเป็นข้อมูลที่ละเอียดอ่อนและอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิด วันนี้พฤติกรรมยั่วยุที่ก้าวร้าวของกัมพูชาเป็นพฤติกรรมที่ต้องถูกประณาม แต่ต้องมองให้เห็นถึงภาพใหญ่ว่าฝ่ายกัมพูชาต้องการอะไร กัมพูชาพร้อมที่จะแพ้ศึกและสูญเสีย แต่สิ่งที่กัมพูชาต้องการคือการพาประเทศไทยสู่ศาลโลก ไม่ว่าศาลโลกจะตัดสินอย่างไร กัมพูชาจะถือว่าตัวเองชนะแล้ว เพราะฉะนั้นภาพใหญ่ที่ไทยต้องมองคือจะทำอย่างไรให้ไม่ใช่แค่ชนะศึก แต่เพื่อนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขต่อไปในระยะยาวของคนทั้งสองประเทศ
อรุณี ตันศักดิ์ดา ข่าว/เรียบเรียง