นายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ รองประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร รับหนังสือจาก นายสุนทร คมคาย ผู้แทนเครือข่ายปราจีนเข้มแข็ง พร้อมคณะ ขอคัดค้านการขยายพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกมายังจังหวัดปราจีนบุรี
ผู้แทนเครือข่ายปราจีนเข้มแข็ง ระบุว่ากระบวนการศึกษาความเหมาะสมในการขยายพื้นที่ EEC ซึ่งดำเนินการโดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยังขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง ผู้เข้าร่วมเวทีรับฟังความคิดเห็นส่วนใหญ่เป็นตัวแทนจากหน่วยงานราชการ ขาดการนำเสนอข้อมูลด้านศักยภาพพื้นที่อย่างรอบด้าน และไม่สะท้อนมุมมองของกลุ่มเกษตรกร แรงงาน เยาวชน และผู้สูงอายุ นอกจากนี้ เครือข่ายฯ ยังแสดงความกังวลต่อปัญหามลพิษสะสมจากการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ผ่านมาในจังหวัดปราจีนบุรี โดยยังไม่มีแผนฟื้นฟูหรือการเอาผิดต่อผู้ก่อมลพิษอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับพฤติกรรมของกลุ่มทุนต่างชาติ โดยเฉพาะทุนจีน ที่อาจเกี่ยวข้องกับการลักลอบใช้ทรัพยากร การจ้างแรงงานผิดกฎหมาย และการหลีกเลี่ยงข้อกฎหมาย ซึ่งอาจกระทบต่อความมั่นคงในชุมชนอย่างรุนแรง จึงขอให้คณะกรรมาธิการฯ ดำเนินการ ขอสำเนาขอบเขตงาน (TOR) ของโครงการศึกษาการขยายพื้นที่ EEC ตรวจสอบว่ากระบวนการรับฟังความคิดเห็นในพื้นที่ เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ ขอรายงานสรุปเวทีรับฟังความคิดเห็นที่จัดขึ้น พร้อมรายชื่อผู้เข้าร่วมและข้อเสนอจากประชาชน ขอให้ผลักดันให้มีการระงับกระบวนการขยายพื้นที่ EEC ใน จ.ปราจีนบุรีไว้ก่อน และเสนอให้ดำเนินการจัดทำ การประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA)อย่างรอบด้านและเปิดเผย โดยมีประชาชนมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน
ทั้งนี้ เครือข่ายปราจีนเข้มแข็งยืนยันว่า การเดินหน้าโครงการโดยยังไม่มีมาตรการรับประกันสิทธิของประชาชน หรือกลไกการมีส่วนร่วมที่ชัดเจน จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้าง และอาจเปิดช่องให้กลุ่มทุนเข้าครอบงำพื้นที่โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบในระยะยาว
ด้านนายพงศธร กล่าวภายหลังรับหนังสือว่า เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เริ่มต้นในยุครัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยประกาศพื้นที่นำร่องในจังหวัดชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอง แต่เมื่อมีแนวโน้มจะมีการขยายพื้นที่เพิ่มเติม จึงมีความจำเป็นต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง โดยเฉพาะจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการประเมินผลกระทบในระดับยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม เบื้องต้นจะส่งเรื่องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯ และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นที่มีนัยยะสำคัญ โดยย้ำว่าจำเป็นต้องฟังเสียงของประชาชนปราจีนบุรีว่าต้องการเห็นการพัฒนาในจังหวัดของตนในทิศทางใด อย่างไรก็ตาม จากบทเรียนในพื้นที่ EEC เดิม พบว่ามีปัญหาหลายด้าน อาทิ การเข้ามาของทุนสีเทา การเปิดช่องให้กลุ่มทุนต่างชาติเข้ามาดำเนินธุรกิจโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบ เช่น กรณีศูนย์เหรียญ และแรงงานผิดกฎหมายที่แฝงตัวผ่านระบบฟรีวีซ่า รวมถึงปัญหาการส่งเสริมการลงทุนที่ไม่ใช้วัตถุดิบในประเทศ การนำวัสดุก่อสร้างจากต่างประเทศโดยไม่สนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น ปัญหาขยะ มลพิษ และการจัดตั้งโรงงานที่ไม่มีการรับฟังความเห็นของชุมชนในพื้นที่อย่างเพียงพอ
นายพงศธร กล่าวทิ้งท้ายว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องทบทวนบทเรียนเหล่านี้ และพิจารณาร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น คำสั่ง คสช. ที่ยกเว้นการใช้ผังเมืองในพื้นที่ EEC พร้อมย้ำว่า การพัฒนาในจังหวัดปราจีนบุรีจะต้องเกิดขึ้นบนพื้นฐานของกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งจะเป็นแนวทางที่คณะกรรมาธิการฯ จะนำไปพิจารณาอย่างรอบคอบในลำดับต่อไป
อรพรรณ ขันทองคำ ข่าว/เรียบเรียง