นางสาวพนิดา มงคลสวัสดิ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดสมุทรปราการ พรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ในรายการสภาปริทัศน์ ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงรัฐสภา กรณีที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เตรียมเปิดประมูลคลื่นความถี่ 4 ย่านหลัก ในวันที่ 29 มิ.ย.68 ซึ่งเป็นคลื่นเดิมของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ทีกำลังจะหมดอายุสัมปทานวันที่ 3 ส.ค.68 และใช้วิธีประมูล แบบ Sequential ด้วยการประมูลพร้อมกัน แบ่งเป็นคลื่น 850 MHz จำนวน 2 ชุดความถี่ ใบอนุญาตละ 2x5 MHz ราคาเริ่มต้น 7,738.23 ล้านบาทใบอนุญาตมีอายุ 15 ปี คลื่น 1500 MHz จำนวน 11 ชุดความถี่ ใบอนุญาตละ 5 MHz ราคาเริ่มต้น 1,057.49 ล้านบาทใบอนุญาตมีอายุ 15 ปี คลื่น 2100 MHz จำนวน 15 ชุด ความถี่ ใบอนุญาตละ 2x5 MHz ราคาเริ่มต้น 4,500 ล้านบาท และคลื่น 2300 MHz จำนวน 7 ชุดความถี่ ใบอนุญาตละ 10 MHzราคาเริ่มต้น 2,596.15 ล้านบาท
นางสาวพนิดา กล่าวว่า ตนมีข้อกังวลถึงการกำหนดราคาประมูลเริ่มต้นโดยเฉพาะคลื่นความถี่ 2100 MHz. และ 2300 MHz. ซึ่งต่ำอย่างน่าสงสัย และเป็นราคาอ้างอิงจากราคาการประมูลคลื่น 3G เมื่อปี พ.ศ. 2555 และยังไม่รวมอัตราเงินเฟ้อซึ่งราคาที่เหมาะสมในปัจจุบันควรอยู่ที่ประมาณ 5,150 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าราคาเริ่มต้นถึง 650 ล้านบาท ขณะที่ตลาดโทรคมนาคมไทยในปัจจุบันมีผู้เล่นหลักเพียง 2 ราย คือ AIS และ True/DTAC โดยทั้ง 2 ราย ได้ลงทุนสร้างโครงข่ายบนคลื่นความถี่ที่เคยเช่าใช้อยู่แล้ว ทั้งคลื่น 2100 MHz. และ 2300 MHz. ส่วนตัวเชื่อว่า การประมูลครั้งนี้จะไม่มีการแข่งขันด้านราคา และอาจเป็นไปได้ว่าจะจบลงที่ราคาขั้นต่ำหรือสูงกว่าเพียงเล็กน้อย ทำให้การประมูลคลื่นครั้งนี้มีลักษณะคล้ายกับการ “แบ่งคลื่นกันใช้” มากกว่าที่จะเป็นการแข่งขันอย่างแท้จริง และรัฐเสี่ยงที่จะสูญเสียรายได้หลายร้อยล้านบาท
นางสาวพนิดา ระบุด้วยว่า แม้ผู้ที่ราคาประมูลคลื่นได้สัมปทานในราคาต่ำลงและต้นทุนของผู้ประกอบการลดลง ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าค่าบริการจะถูกลง และมีคุณภาพดีขึ้น ดังนั้น ตนและพรรคประชาชนมีข้อเสนอให้บอร์ด กสทช. ควรทบทวนราคาตั้งต้นให้สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง เนื่องจากการประมูลครั้งนี้แทบจะไม่มีการแข่งขันจริง บริษัทโทรคมนาคมจะแบ่งคลื่นกันตามที่เคยเช่าใช้และไม่แข่งกันบิดราคาอยู่แล้ว ดังนั้นราคาตั้งต้นจึงมีแนวโน้มที่จะเป็นราคาที่ชนะการประมูล หากราคาตั้งต้นต่ำเกินไป รายได้ที่รัฐจะได้รับก็จะลดลงด้วย รวมทั้ง กสทช. ควรมีเงื่อนไขผูกพันว่า เมื่อค่ายมือถือประหยัดต้นทุนจากค่าประมูลที่ต่ำลงแล้ว ต้องนำต้นทุนที่ลดลงไปสะท้อนในค่าบริการแก่ประชาชน เช่น การลดค่าบริการตามสัดส่วนต้นทุนที่ลดลง และต้องทำให้โครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมมีความครอบคลุม ทั่วถึง และถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดนอกจากนี้ กสทช. ต้องแสดงแผนการบริหารคลื่นความถี่ให้ชัดเจน ว่าในสถานการณ์ที่คลื่นความถี่มีจำนวนมากขึ้นเมื่อเทียบกับผู้ให้บริการที่น้อยลง จะมีการบริหารจัดการอย่างไร จะมีการกันคลื่นไว้เพื่อนำมาส่งเสริมการแข่งขันผ่านผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบโครงข่ายเสมือน (MVNO) หรือมีแผนที่จะเปิดให้มีผู้ให้บริการรายที่ 3 จากต่างประเทศหรือไม่ ดังนั้น จำเป็นต้องมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อเปิดเสรีโทรคมนาคมแล้ว ยังจำเป็นต้องมีการกันคลื่นความถี่ให้เพียงพอสำหรับการเข้ามาแข่งขันของผู้เล่นรายใหม่ด้วย เพื่อให้สามารถเข้าถึงโครงข่ายและใช้งานร่วมกันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
นางสาวพนิดา กล่าวย้ำว่า คลื่นความถี่เป็นทรัพยากรร่วมกันของชาติและมีอยู่อย่างจำกัด กสทช.ในฐานะหน่วยงานจัดสรรคลื่นความถี่ ต้องกำกับดูแลให้ใช้คลื่นความถี่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีประสิทธิภาพมากที่สุด ต่อประเทศและต่อประชาชน อันเป็นการสร้างหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐานด้านเสรีภาพในการสื่อสารและหลักประกันการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรมให้เกิดขึ้นได้จริง
ณัฐพล สงวนทรัพย์ ข่าว/เรียบเรียง