3 ก.ย.67 – สส.ศิริกัญญา พรรคประชาชน เสนอขอปรับลดงบประมาณปี 2568 ลงเหลือ 3.5 ล้านล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน คาดรัฐบาลจัดเก็บรายได้ไม่เป็นไปตามเป้า หนี้สาธารณะพุ่งแตะร้อยละ 67.9 ชี้ภาพรวม กมธ.วิสามัญ ปรับลดงบประมาณไปได้กว่า 4 หมื่นล้านบาท แต่ยังไม่ตรงจุด ตั้งข้อสังเกตกระทรวงกลาโหมถูกตัดงบน้อยกว่าทุกปี

image

        นางสาวศิริกัญญา  ตันสกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เสียงข้างน้อย กล่าวอภิปราย มาตรา 4 แห่งร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท โดยขอปรับลดงบประมาณเหลือ 3.5 ล้านล้านบาท ว่า จากการพิจารณาของคณะ กมธ. วิสามัญ ได้ปรับลดงบประมาณ 5 อันดับกระทรวงที่ถูกตัดงบสูงสุด คือ รัฐวิสาหกิจ ลดลง ร้อยละ 50.14 รองลงมา คือ กระทรวงอุตสาหกรรม ลดลงร้อยละ 6.54 กระทรวงการคลัง ลดลงร้อยละ 5.07 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ลดลงร้อยละ 4.82 กระทรวงพลังงาน ลดลงร้อยละ 2.01 สำนักนายกรัฐมนตรี ลดลงร้อยละ 1.41 และกระทรวงกลาโหม ลดลงร้อยละ 1.27 ขณะที่ 5 อันดับกระทรวงที่ได้รับงบเพิ่มสูงสุด คือ หน่วยงานของรัฐสภา เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.31 หน่วยงานขององค์กรอิสระและอัยการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.29 งบกลาง เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.50 กองทุนและเงินหมุนเวียน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.80 และกระทรวงแรงงาน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.43

        นางสาวศิริกัญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ อาทิ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ได้เสนอของบ 2 ส่วน คือ งบในแผนบริหารชำระหนี้ ไม่ถูกตัด แต่งบในแผนยุทธศาสตร์กลับถูกตัดงบทั้งหมด รวมอีก 4 สถาบันการเงินของรัฐ ได้ถูกปรับลดงบประมาณลงไปกว่า 3 หมื่นล้านบาท ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรม ถูกตัดลบงบประมาณ ประมาณ 120 ล้านบาท จากโครงการ 1 หมู่บ้านหนึ่งเชฟ กระทรวงการคลัง กรมธนารักษ์ ได้คืนค่าเช่าศูนย์ราชการ จำนวน 600 ล้านบาท กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มีการตั้งงบประมาณศูนย์เตือนภัยพิบัติ ซ้ำซ้อนกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จึงถูกตัดไป 200 ล้านบาท สำนักนายกรัฐมนตรี ตัดงบโครงการ Soft Power แต่กระทรวงกลาโหม ถูกตัดลดงบประมาณน้อยลงกว่าทุกปี อย่างไรก็ตาม ตนมีข้อสังเกตว่า แม้ว่าในภาพรวมสามารถตัดลดงบประมาณไปได้กว่า 4 หมื่นล้านบาท แต่ตนมีข้อสังเกตว่า มีการตัดลดงบประมาณในส่วนที่ไม่ควรตัด อาทิ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจบางแห่งถูกตัดงบประมาณในการชำระหนี้ให้กับธนาคารของรัฐที่ได้ดำเนินนโยบายให้กับรัฐบาลตามมาตรา 28 แต่ กมธ.วิสามัญ กลับไม่ตัดงบประมาณบางหน่วยงานที่มีความซ้ำซ้อน ไม่สมเหตุสมผล และยังไม่มีเป้าหมายที่ไม่ชัดเจน เช่น โครงการ Anywhere Anytime ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ (สพฐ.) มีการใช้งบประมาณจัดทำคอนเทนต์สำหรับการเรียนผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มที่สูงเกินจริง แต่ กมธ.วิสามัญ ไม่ตัดงบส่วนนี้ลง แต่ไปตัดค่าซ่อมแซมของโรงเรียนแทน เช่นเดียวกับ การเสนอโครงการสร้างท่าเรือของศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (สรชล.) ที่มีการกำหนดพื้นที่ก่อสร้างบนบกไม่เหมาะสม แต่ก็ตัดลดงบประมาณได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เชื่อการอภิปรายตลอดทั้ง 3 วันนี้จะมีการอภิปรายว่ายังมีงบประมาณของหน่วยงานใดที่สามารถปรับลดลงได้ ทั้งนี้ ตนยืนยันว่า มีความจำเป็นต้องปรับลดงบประมาณ ปี 2568 ลง เพราะรัฐบาลไทยไม่ได้มีกำลังมากพอที่จะใช้จ่ายเงินมากถึง 3.75 ล้านล้านบาท เนื่องจาก ในเดือน ธ.ค.ปี 2566 ได้มีการประมาณการรายได้ของรัฐบาล ปี 2568 ไว้ที่ 3.6 ล้านล้านบาท คาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่ 2.88 ล้านล้านบาท แต่สถานการณ์ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปมาก เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลดลง ตัวเลขการเติบโตเหลือเพียง ร้อยละ 2.5 เท่านั้น จากเดินที่คาดว่าจะเติบโตอยู่ที่ ร้อยละ 3.2 ซึ่งจะส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลลดลงตามไปด้วย ตนเห็นว่า รัฐบาลจะไม่สามารถจัดเก็บรายได้ตามเป้าหมายเดิม คือ 2.9 ล้านล้านบาท และหนี้สาธารณะของปี 2568 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นแตะ ร้อยละ 67.9 แต่รัฐบาลไม่ได้เปลี่ยนแปลงงบประมาณลดลง ดังนั้น ตนจึงเห็นว่าควรตัดลดลงประมาณลง 2 แสนล้านบาท เหลือ 3.5 ล้านบานบาท เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน

 

ณัฐพล  สงวนทรัพย์  ข่าว/เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ