5 มิ.ย.67 - กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. .... สผ. ร่วมกับ สสส. จัดเสวนา พ.ร.บ.อากาศสะอาดวาระไทย..วาระโลก แก้ฝุ่นพิษ PM 2.5 ลดโลกเดือด เน้นย้ำความจำเป็นการมีกฎหมายเฉพาะทาง แก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ

image

           นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. .... สภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานเปิดงานเสวนา "พ.ร.บ.อากาศสะอาดวาระไทย..วาระโลก แก้ฝุ่นพิษ PM 2.5 ลดโลกเดือด" เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก ประจำปี 2567 ซึ่ง กมธ.ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดขึ้น ณ ห้องจัดประชุมสัมมนา บี 1-2 ชั้น B1 อาคารรัฐสภา
          โดย นายจักรพล กล่าวว่า ปัญหา PM 2.5 เป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในทุกพื้นที่ไม่ว่าฝุ่นจะเกิดขึ้นในพื้นที่ใดก็ตาม รัฐบาลให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานในอากาศสะอาดที่ทุกคนพึงต้องได้รับตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา อีกทั้งตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันที่ทั่วโลกต้องเผชิญกับความผันผวนของสภาพอากาศ รัฐบาลจึงได้วางแผนรับมือและสร้างการป้องกันวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยการกำหนดให้การแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเป็นวาระแห่งชาติ โดยเฉพาะเรื่องฝุ่น PM 2.5 ที่นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกปี และได้ตั้งคณะกรรมการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศเพื่อความยั่งยืน หรือคณะกรรมการ PM 2.5 แห่งชาติขึ้น เพื่อเป็นกลไกเร่งรัดการจัดทำแผนและการดำเนินมาตรการเพื่อลดฝุ่นควัน PM 2.5 ทั้งระบบ
            นายจักรพล กล่าวเพิ่มเติมว่า ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดฯ ฉบับนี้จะกำหนดกลไกในการบริหารจัดการและควบคุมกิจกรรมต่าง ๆ ที่ส่งผลให้เกิดมลพิษทางอากาศในทุกมิติ การมีคณะกรรมการแก้ไขปัญหาในทุกระดับการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ การกำหนดมาตรการควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดครอบคลุมกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษทุกรูปแบบ อาทิ ภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร ภาคการเผาในที่โล่ง และหมอกควันข้ามแดน มีการกำหนดมาตรการเร่งด่วน มาตรการทางเศรษฐศาสตร์ รวมถึงการมีส่วนร่วมรับผิดชอบทุกภาคส่วนให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ซึ่งขณะนี้ กมธ.อยู่ระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จและส่งกลับไปที่สภาผู้แทนราษฎรในสมัยประชุมที่จะถึงนี้ เพื่อให้ทันบังคับใช้ไตรมาส 4 ปีนี้ ช่วงปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม ทั้งนี้ตนเชื่อ ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกัน ควบคุม และบริหารจัดการเรื่องฝุ่น PM 2.5 และโลกร้อนได้ อาทิ การกำหนดบทลงโทษผู้ก่อให้เกิดมลพิษจะต้องจ่ายค่าปรับ เพื่อลดภาคการเผาอย่างมีนัยยะสำคัญ อีกทั้งยังเป็นการขยายเพดานการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านกลุ่มอาเซียน ซึ่งขณะนี้ได้เกิดขึ้นจริงแล้ว โดยเฉพาะการที่นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปในหลายประเทศเพื่อนบ้าน และการดำเนินการ ยุทธศาสตร์ฟ้าใสกับสปป.ลาว กัมพูชา มาเลเซีย และเมียนมา นอกจากนี้ ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยังได้เตรียมจัดการประชุมเกี่ยวกับปัญหาหมอกควันข้ามแดน ประเด็น PM 2.5 ปลายปีนี้ด้วย สิ่งเหล่านี้จะทำให้นานาชาติตระหนักว่าประเทศไทยเอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เพื่อนำไปสู่การจัดการและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศอย่างเหมาะสมและเกิดความยั่งยืนต่อไป


อรุณี ตันศักดิ์ดา ข่าว/เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ