นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. .... สภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานเปิดงานเสวนา "พ.ร.บ.อากาศสะอาดวาระไทย..วาระโลก แก้ฝุ่นพิษ PM 2.5 ลดโลกเดือด" เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก ประจำปี 2567 ซึ่ง กมธ.ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดขึ้น ณ ห้องจัดประชุมสัมมนา บี 1-2 ชั้น B1 อาคารรัฐสภา
โดย นายจักรพล กล่าวว่า ปัญหา PM 2.5 เป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในทุกพื้นที่ไม่ว่าฝุ่นจะเกิดขึ้นในพื้นที่ใดก็ตาม รัฐบาลให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานในอากาศสะอาดที่ทุกคนพึงต้องได้รับตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา อีกทั้งตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันที่ทั่วโลกต้องเผชิญกับความผันผวนของสภาพอากาศ รัฐบาลจึงได้วางแผนรับมือและสร้างการป้องกันวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยการกำหนดให้การแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเป็นวาระแห่งชาติ โดยเฉพาะเรื่องฝุ่น PM 2.5 ที่นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกปี และได้ตั้งคณะกรรมการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศเพื่อความยั่งยืน หรือคณะกรรมการ PM 2.5 แห่งชาติขึ้น เพื่อเป็นกลไกเร่งรัดการจัดทำแผนและการดำเนินมาตรการเพื่อลดฝุ่นควัน PM 2.5 ทั้งระบบ
นายจักรพล กล่าวเพิ่มเติมว่า ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดฯ ฉบับนี้จะกำหนดกลไกในการบริหารจัดการและควบคุมกิจกรรมต่าง ๆ ที่ส่งผลให้เกิดมลพิษทางอากาศในทุกมิติ การมีคณะกรรมการแก้ไขปัญหาในทุกระดับการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ การกำหนดมาตรการควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดครอบคลุมกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษทุกรูปแบบ อาทิ ภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร ภาคการเผาในที่โล่ง และหมอกควันข้ามแดน มีการกำหนดมาตรการเร่งด่วน มาตรการทางเศรษฐศาสตร์ รวมถึงการมีส่วนร่วมรับผิดชอบทุกภาคส่วนให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ซึ่งขณะนี้ กมธ.อยู่ระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จและส่งกลับไปที่สภาผู้แทนราษฎรในสมัยประชุมที่จะถึงนี้ เพื่อให้ทันบังคับใช้ไตรมาส 4 ปีนี้ ช่วงปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม ทั้งนี้ตนเชื่อ ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกัน ควบคุม และบริหารจัดการเรื่องฝุ่น PM 2.5 และโลกร้อนได้ อาทิ การกำหนดบทลงโทษผู้ก่อให้เกิดมลพิษจะต้องจ่ายค่าปรับ เพื่อลดภาคการเผาอย่างมีนัยยะสำคัญ อีกทั้งยังเป็นการขยายเพดานการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านกลุ่มอาเซียน ซึ่งขณะนี้ได้เกิดขึ้นจริงแล้ว โดยเฉพาะการที่นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปในหลายประเทศเพื่อนบ้าน และการดำเนินการ ยุทธศาสตร์ฟ้าใสกับสปป.ลาว กัมพูชา มาเลเซีย และเมียนมา นอกจากนี้ ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยังได้เตรียมจัดการประชุมเกี่ยวกับปัญหาหมอกควันข้ามแดน ประเด็น PM 2.5 ปลายปีนี้ด้วย สิ่งเหล่านี้จะทำให้นานาชาติตระหนักว่าประเทศไทยเอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เพื่อนำไปสู่การจัดการและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศอย่างเหมาะสมและเกิดความยั่งยืนต่อไป
อรุณี ตันศักดิ์ดา ข่าว/เรียบเรียง
