นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (ปลัด สธ.) เปิดเผยว่ากรมควบคุมโรคได้รายงานสถานการณ์โรคไข้เลือดออกในปีนี้มีแนวโน้มพบผู้ป่วยสูงขึ้น พบว่าตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 14 มิ.ย. 66 มีผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกแล้ว 21,457 ราย เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 65 ที่มีผู้ป่วย 6,488 ราย พบว่ามากกว่าถึง 3.3 เท่า และมีผู้เสียชีวิต 19 ราย ผู้ป่วยอยู่ในกลุ่มอายุ 5-14 ปี มีจำนวนมากที่สุด อยู่ที่ 7,331 ราย และเป็นกลุ่มที่มีอัตราป่วยสูงถึงร้อยละ 96.63 ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในวัยเรียน จึงต้องช่วยกันดูแลสภาพแวดล้อมทั้งที่บ้านและโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้มีเศษขยะ เช่น กล่องโฟม พลาสติกเหลือใช้ ที่จะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เพื่อป้องกันอันตรายจากโรคไข้เลือดออก
ปลัด สธ.กล่าวด้วยว่าอาการของโรคไข้เลือดออก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ร่วมกับอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก ปวดกระบอกตา บางรายอาจมีปวดท้อง อาเจียน มีจุดแดงเล็ก ๆ บริเวณแขน ขา ลําตัว มีเลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดออกตามไรฟัน หรือประจำเดือนมากผิดปกติ ดังนั้นในระยะนี้หากป่วยมีไข้สูง แต่ไม่มีอาการระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ เช่น ไอ หรือน้ำมูก และตรวจ ATK แล้วผลปรากฎเป็นลบ คือไม่พบเชื้อ โควิด - 19 โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัว มีภาวะอ้วน และผู้สูงอายุ ให้สงสัยว่าอาจจะเป็นโรคไข้เลือดออก ทั้งนี้ห้ามรับประทานยาลดไข้กลุ่ม NSAIDs (เอ็นเสด) เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน และรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโรคให้ชัดเจน จะช่วยลดความเสี่ยงการเสียชีวิต ส่วนเด็กที่ยังไม่สามารถบอกอาการของตนเองได้ ผู้ปกครองต้องสังเกตอาการใกล้ชิด หากรับประทานยาลดไข้ 2 วันแล้วไม่ดีขึ้น ให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจเป็นโรคไข้เลือดออก และให้รีบไปพบแพทย์ ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก สามารถโทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422
ณัฐเดช เอียดปุ่ม /ข่าว /เรียบเรียง
ขอบคุณข้อมูลและภาพจากเพจเฟซบุ๊ก กระทรวงสาธารณสุข