นายกัณวีร์ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะกรรมาธิการว่าด้วยการส่งเสริมการเคารพกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (Committee to Promote Respect for International Humanitarian Law: IHL) เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการ เมื่อวันอังคารที่ 21 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุม CICG นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ในห้วงของการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา (IPU) ครั้งที่ 151 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมอภิปรายภายใต้หัวข้อ Safeguarding humanitarian action in times of armed conflict (การปกป้องการดำเนินการด้านมนุษยธรรมในช่วงความขัดแย้งทางอาวุธ) ที่ประชุมอภิปรายถึงบทบาทของรัฐสภาในการคุ้มครองและอำนวยความสะดวกต่อการปฏิบัติการด้านมนุษยธรรมในสถานการณ์ความขัดแย้ง ตลอดจนแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีระหว่างสมาชิกรัฐสภา ผู้เชี่ยวชาญ และองค์กรด้านมนุษยธรรม เพื่อผลักดันให้หลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law – IHL) มีการนำไปใช้ปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โอกาสนี้ นายกัณวีร์ สืบแสง ได้ร่วมอภิปราย ด้วยการกล่าวถึงประสบการณ์ในการทำงานด้านมนุษยธรรมก่อนเข้าสู่การเมือง พร้อมเน้นย้ำว่าการผลักดันหลักการด้านมนุษยธรรมให้เกิดผลจริง จำเป็นต้องผ่านกระบวนการทางกฎหมายและนโยบายของรัฐสภา ทั้งนี้ ประเทศไทยยังไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายภายในประเทศที่ครอบคลุมหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศ จึงจำเป็นต้องผลักดันให้เกิดการบูรณาการหลักการดังกล่าว เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัยและผู้ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังได้เสนอให้สมาชิกรัฐสภาทั่วโลกร่วมมือกันสร้างกลไกและข้อตกลงระดับสากล เพื่อยกระดับวาระด้านมนุษยธรรมให้เป็นวาระระดับโลก และส่งเสริมให้รัฐสภาสมาชิกของสหภาพรัฐสภานำหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศไปผนวกไว้ในกฎหมายภายในประเทศ เพื่อคุ้มครองเจ้าหน้าที่และการดำเนินงานขององค์กรด้านมนุษยธรรมในพื้นที่ความขัดแย้ง
นายกัณวีร์ กล่าวนำเสนอในช่วงที่คณะกรรมาธิการร่วมพิจารณาสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมจากทั่วโลก และแผนการดำเนินกิจกรรมของคณะกรรมาธิการ โดยระบุถึงความสำเร็จของประเทศไทย จากกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติมาตรการเร่งรัดให้ผู้ไม่มีสัญชาติกว่า 480,000 คน มีทางเลือกให้ได้รับสัญชาติไทย อีกทั้งคณะรัฐมนตรียังมีมติเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ที่ผ่านมา ตามข้อเสนอของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร อนุญาตให้ผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาในค่ายชายแดนมีสิทธิในการทำงานได้ แต่มีเงื่อนไข ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ที่ประเทศผู้ให้ความช่วยเหลือตัดลดงบประมาณสนับสนุนในส่วนนี้เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา อันถือเป็นประเด็นที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง นายกัณวีร์ ยังแสดงความห่วงกังวลเกี่ยวกับการผลักดันผู้ลี้ภัยกลับประเทศ (refoulement) โดยเน้นย้ำว่าประเทศไทยได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ประเทศเพื่อนบ้านมาโดยตลอด และมีความพยายามระหว่างรัฐบางส่วนในการส่งผู้ลี้ภัยทางการเมืองกลับประเทศต้นทาง ซึ่งประเด็นดังกล่าวควรได้รับการหารือในฝ่ายบริหาร เพื่อยืนยันหลักการว่าการปราบปรามข้ามพรมแดน(transnational repression) ไม่ควรเกิดขึ้น
สำนักองค์การรัฐสภาระหว่างประเทศ สผ. / ข่าวและภาพ
สำนักประชาสัมพันธ์ สผ. /ข้อมูล
ลักขณา เทียกทอง /เรียบเรียง