16 ก.ย.68- ที่ประชุมวุฒิสภา เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ก.การประมงฯ หลัง กมธ.ร่วมสองสภา ได้ข้อยุติใน 6 มาตรา ที่เห็นต่างกันได้สำเร็จ มุ่งสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ทรัพยากร และการประกอบอาชีพของชาวประมง พร้อมวางกลไกการทำประมงอวนล้อมจับนอกเขต 12 ไมล์ทะเล ภายใต้การศึกษาวิจัยที่เข้มข้น และผ่อนปรนความผิดร้ายแรงครั้งแรกเพื่อความเป็นธรรม

image

        ที่ประชุมวุฒิสภา ที่มีพลเอกเกรียงไกร  ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง เป็นประธานการประชุมโดยมีวาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การประมง พ.ศ. 2558 พ.ศ. .... ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ร่วมกัน พิจารณาเสร็จแล้ว โดยนายธวัช สุระบาล รองประธานคณะ กมธ.ร่วมกัน คนที่หนึ่ง กล่าวชี้แจงสาระสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้ ว่า กมธ.ร่วมกัน ได้พิจารณาเนื้อหาใน 6 มาตรา ที่ทั้ง 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ได้เห็นต่างกันจนได้ข้อยุติแล้ว โดยเห็นชอบตามร่างแก้ไขของวุฒิสภา 2 มาตรา และมีการแก้ไขเพิ่มเติม 4 มาตรา โดยคำนึงถึงข้อมูลจากการรับฟังความคิดเห็นและผลกระทบตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ ตลอดจนความเห็นจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ประชาสังคม นักวิชาการ รวมถึงผู้แทนชาวประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์เข้าร่วมด้วย โดย กมธ.ร่วมกันได้แก้ไขใน 6 มาตราสำคัญ ได้แก่ มาตรา 14 ที่เป็นการแก้ไข มาตรา 26 โดยเปลี่ยนถ้อยคำจากระบุชื่อ "ทะเลสาบสงขลา" เป็น "ทะเลสาบที่ติดต่อกับทะเล" เพื่อให้กฎหมายมีความยืดหยุ่นและครอบคลุมในระยะยาว หากในอนาคตมีทะเลสาบอื่นที่มีลักษณะทางภูมิศาสตร์เช่นเดียวกัน ส่วนมาตรา 18 เป็นการแก้ไข มาตรา 39 โดยแก้ไขผู้มีอำนาจใช้มาตรการทางปกครองจาก “อธิบดี” เป็น “คณะกรรมการมาตรการทางปกครอง” เพื่อให้การใช้อำนาจเป็นไปในรูปแบบองค์คณะ สอดคล้องกับหลักการในมาตรา 113 ขณะที่ มาตรา 25 เป็นการแก้ไข มาตรา 66 กรณีสัตว์หายากติดเครื่องมือ ทั้งนี้เพื่อจูงใจให้ชาวประมงช่วยชีวิตสัตว์ทะเลหายากและสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ จึงคงหลักการว่า หากสัตว์หายากติดเครื่องมือทำประมงและชาวประมงปล่อยคืนสู่ทะเลทันที จะไม่ถือเป็นความผิด พร้อมทั้งตัดคำว่า “ติดเรือ” ออกไป เพื่อลดช่องว่างในการตีความและให้ยึดกรณี “ติดเครื่องมือ” เป็นหลัก ซึ่งหลักการนี้สอดคล้องกับกฎหมายสากล เช่น กฎหมายคุ้มครองสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนมของสหรัฐอเมริกา (MMPA) และกฎหมายของสหภาพยุโรป สำหรับมาตรา 28 ที่เป็นการแก้ไข มาตรา 69 ประเด็นอวนล้อมจับและไฟล่อ ซึ่งเป็นมาตราที่มีการพิจารณาอย่างรอบคอบที่สุด โดยวางหลักการเป็น 3 วรรค กล่าวคือ วรรคแรก ห้ามใช้อวนล้อมจับที่มีตาอวนเล็กกว่า 2.5 ซม. ทำการประมงในเวลากลางคืน วรรคสอง กำหนดข้อยกเว้น 2 กรณี คือ กรณีการศึกษาวิจัยโดยหน่วยงานราชการ ที่ได้รับอนุญาต และกรณีการทำประมงนอกเขต 12 ไมล์ทะเล ซึ่งต้องมีผลการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์รองรับว่าไม่กระทบต่อระบบนิเวศ ส่วนวรรคสาม การอนุญาตให้ทำประมงนอกเขต 12 ไมล์ทะเล ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ ซึ่งต้องผ่านการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย และ ต้องมีการทบทวนประกาศทุก 2 ปี

        นายธวัช กล่าวด้วยว่า มาตรา 35 ที่เป็นการแก้ไข มาตรา 114 ความผิดร้ายแรง ทั้งนี้ เพื่อความเป็นธรรมแก่ชาวประมง ได้มีการแก้ไขหลักเกณฑ์ความผิดร้ายแรง โดยกำหนดว่าการไม่ปฏิบัติตามมาตรา 71 วรรคหนึ่ง จะถือเป็นความผิดร้ายแรงเมื่อกระทำผิด เกินกว่า 1 ครั้ง ภายใน 1 รอบปีใบอนุญาต จากเดิมที่กำหนดไว้ 2 ครั้ง เพื่อให้โอกาสผู้กระทำผิดครั้งแรกได้สำนึก แต่หากกระทำผิดซ้ำก็จำเป็นต้องลงโทษทั้งทางอาญาและปกครอง สุดท้ายมาตรา 70 กรอบเวลาออกกฎหมายลูก ที่ประชุม กมธ.ร่วมกัน ได้เห็นชอบตามร่างของวุฒิสภาที่กำหนดกรอบระยะเวลาในการออกกฎกระทรวงหรือประกาศที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี ซึ่งเป็นกรอบเวลาที่เหมาะสม นอกจากนี้ กมธ. ร่วมกัน ยังได้แนบข้อสังเกตสำคัญ 2 ประการ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ประกอบด้วย การกำหนดให้คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการศึกษาวิจัยตามมาตรา 69 ให้ชัดเจนและครอบคลุมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน รวมทั้งให้กรมประมงพิจารณาปรับระบบการจัดสรรโควต้าจากการกำหนด "วันทำการประมง" ไปเป็น "โควต้าปริมาณการจับสัตว์น้ำ" (Catch Quota) โดยอ้างอิงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความยั่งยืนในระยะยาว โดยคาดหวังว่ากฎหมายฉบับนี้จะสามารถแก้ไขปัญหาที่ยืดเยื้อของชาวประมงมานานกว่าทศวรรษ ช่วยให้ชาวประมงสามารถประกอบอาชีพได้อย่างมั่นคง และฟื้นฟูภาคการประมงของไทยให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

        นายเทวฤทธิ์  มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวอภิปรายโดยแสดงความกังวลในประเด็นมาตรา 66 เรื่องการพิสูจน์เจตนาในการปล่อยสัตว์หายากโดยทันที ว่า ในทางปฏิบัติเป็นไปได้ยาก พร้อมตั้งคำถามถึงความจำเป็นในการเปิดช่องให้ทำประมงโดยใช้ไฟล่อนอกเขต 12 ไมล์ทะเลในมาตรา 69 เนื่องจากปัจจุบันก็มีเครื่องมือจับปลากะตักประเภทอื่นอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ตนเห็นด้วยกับภาพรวมของร่างกฎหมายที่ช่วยเหลือชาวประมง และกังวลว่าหากล่าช้าออกไปอาจติดปัญหาการยุบสภา ทำให้กฎหมายที่ดีในส่วนอื่นต้องตกไปด้วย จึงสนับสนุนให้ผ่านร่างนี้

        นายประเทศ  ซอรักษ์ รองอธิบดีกรมประมง ในฐานะ กมธ. กล่าวชี้แจงว่า การออกแบบมาตรา 69 ใหม่มีเจตนาเพื่อหาข้อยุติทางวิชาการที่ชัดเจนก่อนจะอนุญาตหรือไม่ โดยกำหนดให้การวิจัยต้องเกิดขึ้นนอกเขต 12 ไมล์ทะเลเท่านั้น และต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อให้เกิดความรอบคอบและมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย

        ทั้งนี้ ภายหลังจาก สมาชิกวุฒิสภา ได้อภิปรายร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ก.การประมง พ.ศ. 2558 พ.ศ. ....ครบทุกมาตราแล้ว ที่ประชุมวุฒิสภา ได้ลงมติในวาระที่สาม ผลปรากฏว่า ที่ประชุมวุฒิสภา มีมติเห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎร ด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 157 เสียง ไม่เห็นด้วย ไม่มี งดออกเสียง 4 เสียง และเห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะ กมธ. หลังจากนี้จะส่งร่างกฎหมายดังกล่าวไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป

 

ณัฐพล  สงวนทรัพย์  ข่าว/เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ