การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. .... ซึ่งวุฒิสภาแก้ไขเพิ่มเติม และได้ส่งคืนสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณา ตามข้อบังคับการประชุมสภาฯ ข้อ 137 โดยมี สส. ลงชื่ออภิปราย ก่อนลงมติ
นายธีระชัย แสนแก้ว สส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า วุฒิสภา แก้ไขในมาตรา 5 ตนเห็นว่าสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 70 ที่ได้วางหลักการไว้ว่ากลุ่มชาติพันธุ์จะต้องได้รับการรับรองสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานให้เท่าเทียมกับคนไทยทุกคน ซึ่งมาตรา 5 มีความสำคัญต่อกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศมากกว่า 60 กลุ่ม หรือประมาณ 6 ล้านกว่าคน คิดเป็น 10% ของประชาชนทั้งประเทศ โดยสภาฯ เห็นชอบให้กฎหมายบัญญัติการรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์ไว้ 6 ประการ คือ ต้องได้รับการดูแลจากภาครัฐ รัฐจะต้องอนุรักษ์ ส่งเสริมภูมิปัญญา และรักษาความหลากหลาย รัฐจะต้องเข้ามาดูแลและบริหารจัดการชุมชน ที่อยู่อาศัย บริหารจัดการพื้นที่ที่เป็นประโยชน์กับการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐจะต้องเปิดโอกาสให้กลุ่มชาติพันธุ์เข้ามามีส่วนร่วมสามารถแสดงความคิดเห็นต่อปัญหาต่าง ๆ ของกลุ่มชาติพันธุ์ได้ และรัฐจะต้องสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นถนน ไฟฟ้า ประปา ในทุกพื้นที่เช่นเดียวกับคนไทย และจะต้องจัดการให้บริการ ทั้งสาธารณสุข การศึกษา และพัฒนาสังคมให้เท่าเทียมกัน ซึ่งวุฒิสภาแก้ไขเพิ่มเติมถ้อยคำไว้ในวรรคท้ายว่า “และไม่เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น” ซึ่งตนคิดว่าเป็นเรื่องปกติของโลกประชาธิปไตยอยู่แล้ว ไม่ได้ขัดกับหลักการสิทธิเสรีภาพ ขั้นพื้นฐานใด ๆ ดังนั้น จึงเห็นด้วยกับการแก้ไขเพิ่มเติมของวุฒิสภา
ด้านนางสาวภัสริน รามวงศ์ สส.กทม. พรรคประชาชน อภิปรายตั้งข้อสังเกตต่อการแก้ไข นิยามคำว่ากลุ่มชาติพันธุ์ โดนเปลี่ยน “กลุ่มคน” เป็น “ชาวไทย” ซึ่งดูเผิน ๆ อาจเห็นว่าเป็นเพียงการปรับถ้อยคำให้ชัดเจนขึ้น แต่ในเชิงโครงสร้างกลับสะท้อนกระบวนทัศน์แบบรัฐนิยม เพราะรัฐพยายามจะนิยามความเป็นพลเมืองและวัฒนธรรม ผ่านสายตาของรัฐส่วนกลาง การยึดเอาสัญชาติเป็นเกณฑ์สูงสุดในการให้สิทธิ์และการยอมรับตัวตนของประชาชน เชื่อมโยงสิทธิและการมีตัวตนเข้ากับสัญชาติไทยเท่านั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมากก็อาศัยอยู่ในประเทศไทยมาเป็นเวลานาน มีอัตลักษณ์เฉพาะถิ่นของตัวเอง แต่ก็ยังมีคนที่ไม่ได้รับการรับรองสถานะทางกฎหมาย เนื่องจากโครงสร้างรัฐไม่สามารถรองรับความหลากหลายได้ ส่วนคำว่า “มีความสืบเนื่องทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่สัมพันธ์กับสังคมไทย” ตนขอตั้งข้อสังเกตว่ากฎหมายนี้ ยังอาจจะคงระบบมองวัฒนธรรมจากศูนย์กลางออกไปสู่ชายขอบและอาจจะเป็นการควบคุมพื้นที่อัตลักษณ์ของกลุ่มชายขอบนั้นหรือไม่ ว่า การกำหนดว่าใครเป็นประชาชนผู้แท้จริง และวัฒนธรรมใดสัมพันธ์กับสังคมไทย เพียงพอที่จะได้รับการยอมรับ ราวกับว่าวัฒนธรรมท้องถิ่นหรือชาติพันธุ์ จะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อสัมพันธ์หรือเชื่อมโยงกับภาพใหญ่ของรัฐชาติเท่านั้นหรือไม่ แทนที่จะยอมรับความหลากหลายได้อย่างไม่มีเงื่อนไข และการเพิ่มวลีว่า “สัมพันธ์กับสังคมไทย” ในนิยามนี้ ตนตั้งข้อสังเกตว่าคือการเปิดกว้างหรือไม่ หรือคือการสถาปนาอำนาจของรัฐ ให้สามารถกลั่นกรองอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ ผ่านสายตาของผู้มีอำนาจ การนิยามเรื่องพื้นที่วัฒนธรรมและจิตวิญญาณ กำลังตอกย้ำหรือไม่ว่ารัฐอาจจะจำกัดการรับรู้อัตลักษณ์และความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ให้อยู่ในกรอบที่รัฐควบคุมได้หรือไม่ ทั้งนี้ หวังว่าข้อสังเกตจะเป็นประโยชน์ต่อการใช้บังคับกฎหมายต่อไป
ขณะที่นายแพทย์ ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า วุฒิสภาแก้ไขเพิ่มเติมทั้งหมด 22 มาตรา ถือว่าแก้ไขเยอะ แต่ไม่ได้กระทบต่อหลักการหรือสิ่งที่สภาฯ ต้องการให้เกิดขึ้น แต่เท่าที่ตรวจสอบ อาจมีความย้อนแย้งกันอยู่ในตัว คือ 1. มาตรา 3 วุฒิสภาได้เพิ่มบทนิยามคำว่า “พื้นที่ทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ” ถ้อยคำนี้มีอยู่ในมาตรา 42 เขียนเรื่องพื้นที่ทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ แต่สิ่งหนึ่งที่ตน มองว่าเมื่อมีนิยามตรงนี้ ไม่ได้ติดใจ แต่มีข้อสังเกต เมื่อมีคำนิยามอย่างเด่นชัดในหลายมาตราที่มีคำว่าจิตวิญญาณวุฒิสภากลับตัดออกหมด มาตรา 39 อนุมาตรา 3 ตัดคำว่า “จิตวิญญาณ” แก้เป็น “ความเชื่อ” มาตรา 28 ตัดคำว่า “และพื้นที่ทางจิตวิญญาณ” ออก ทั้ง ๆ ที่ไปเขียนในนิยามว่าต้องการเน้นคำว่า “พื้นที่ทางจิตวิญญาณ” แต่กลับตัดออก ดังนั้น ประเด็นนี้จะมีปัญหาต่อการนำไปสู่การปฏิบัติหรือไม่ คงต้องไปพิจารณา 2. ถ้อยคำที่วุฒิสภาตัดออกโดยเฉพาะในเรื่องของการให้สิทธิหรือให้หน้าที่ของกลุ่มชาติพันธุ์ไปเป็นตัวแทนของกลุ่มชาติพันธุ์ในการร่วมประชุมสัมมนากับองค์กรระหว่างประเทศ ร่างของสภาฯ เน้นคงคำว่า “ตามความตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี” ซึ่งตนในฐานะที่เป็นประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มองว่าถ้อยคำเหล่านี้ในกลุ่มกรรมาธิการฯ และที่ปรึกษาของคณะกรรมาธิการฯ ชุดนี้ ให้ความสำคัญ เพราะว่าการที่องค์กรใดจะไปทำความตกลง ไปเป็นตัวแทนและกระทำการต่าง ๆ หากไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ไทยได้ทำการตกลงไว้จะไม่สามารถทำได้ ต้องผ่านสภาฯ 3. การเขียนเรื่อง “ธรรมนูญ” ในร่างของสภาฯ ให้ความสำคัญกับสภาคุ้มครองวิถีชีวิตให้ไปจัดทำธรรมนูญเฉพาะพื้นที่ เฉพาะกลุ่ม ที่สามารถเขียนบทบัญญัติเป็นแม่บทในการที่จะใช้บังคับ แต่วุฒิสภาไปเปลี่ยนเป็น “ข้อกำหนด” ทั้งหมด ซึ่งธรรมนูญกับข้อกำหนด ความหมายต่างกันลิบลับ ซึ่งตนค่อนข้างไม่เห็นด้วย และที่ผ่านมากฎหมายหลายฉบับ สภาฯ ก็เห็นชอบให้ใช้ธรรมนูญ เช่น กฎหมายสุขภาพแห่งชาติ ให้ออกธรรมนูญสุขภาพแห่งชาติ มาบังคับใช้เป็นหลักและออกกฎหมายระดับรองตามมา ซึ่งสภาฯ มีต้นแบบในการตรากฎหมายลักษณะนี้อย่างชัดเจน และ 4. การเพิ่มเติมในมาตรา 37 ซึ่งเป็นมาตราสำคัญว่าด้วยการกำหนดพื้นที่คุ้มครองวิถีกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งสภาฯ ถกเถียงกันมากและยังคงกฎหมายในมาตราถัดไปให้เป็นไปตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ แต่ว่าวุฒิสภาได้เพิ่มเติมในการกำหนดการจัดทำแผนแม่บทกำหนดพื้นที่ โดยเติมคำว่า “โดยไม่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงเขตหรือสถานะหรือเพิกถอนสภาพพื้นที่ของรัฐ” ซึ่งหากเป็นเช่นนี้อาจจะมีผลกับการกำหนดเขตพื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งจะเป็นข้อจำกัดหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าการแก้ไขเพิ่มเติมร่างกฎหมายทั้ง 4 ประเด็นของวุฒิสภา จะมีผลต่อการบังคับใช้กฎหมาย และอยากให้ตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกัน
ทั้งนี้ เมื่อสมาชิกอภิปรายเสร็จสิ้น ประธานการประชุมได้เปิดให้ลงมติ ปรากฏว่า เสียงส่วนใหญ่เห็นชอบกับการแก้ไขเพิ่มเติมของวุฒิสภา 421 เสียง ไม่เห็นชอบไม่มี งดออกเสียง 3 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 2 เสียง
ทัดดาว ทองอิ่ม ข่าว / เรียบเรียง