นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวในเวทีเสวนา รัฐธรรมนูญใหม่ เป็นจริงกี่โมง ซึ่งจัดโดยอาสาสมัครนักสิทธิมนุษยชน รุ่นที่ 18 มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม เมื่อวันที่ 19 เมษายน ที่ผ่านมา ณ The Farm Concept แบริ่ง เขตบางนา กรุงเทพมหานคร ว่า ปัจจุบัน สว. ไม่มีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีแล้ว ส่งผลให้ลดแรงจูงใจในการผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากลำดับความสำคัญของนโยบายรัฐบาลชุดปัจจุบัน ตั้งแต่นายเศรษฐา ทวีสิน ไปจนถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ทั้งนี้ กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 3 เส้นทาง ได้แก่ 1. รอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการทำประชามติ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 20 วัน หรือครบกำหนดปลายเดือนเมษายน 2. การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ซึ่งต้องรอเปิดสมัยประชุมสภาฯ หลังวันที่ 3 กรกฎาคม แต่หากศาลวินิจฉัยว่าต้องทำประชามติก่อน ยังไม่สามารถพิจารณาได้ และ 3. กฎหมายประชามติที่จะครบกำหนด 180 วันในช่วงกลางเดือนมิถุนายน ซึ่งจะเปิดทางให้สภาผู้แทนราษฎรลงมติฝ่ายเดียวได้ ดังนั้น หลังเปิดสมัยประชุมในเดือนกรกฎาคม จะมีวาระสำคัญ 2 เรื่อง คือ วาระ 180 วัน และ วาระการแก้ มาตรา 256 คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน หากทุกอย่างเป็นไปตามกรอบเวลา กฎหมายประชามติจะพร้อมใช้ในเดือนกันยายน และสามารถจัดประชามติครั้งแรกพร้อมกับการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)
นายเทวฤทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งร่างของพรรคเพื่อไทย (พท.) และพรรคประชาชน (ปชน.) ต่างมีข้อเสนอให้ตัดอำนาจ สว. ซึ่งคาดว่า สว. จะไม่ยอมรับ ดังนั้นจึงควรมีร่างของรัฐบาลมาประกบ หากไม่มีอาจไม่สามารถผ่านได้ พร้อมเรียกร้องให้พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ร่วมรับผิดชอบกับรัฐบาลในเรื่องนี้ด้วย นอกจากนี้ ยังเตือนถึงกรณีที่เคยเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2567 ที่เคยมีการพูดถึงความเป็นไปได้ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยถอดถอนนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน หรือยุบพรรคก้าวไกลซึ่งเป็นพรรคอันดับ 1 แม้เหตุการณ์นั้นจะยังไม่เกิดขึ้น แต่ถือเป็นสัญญาณเตือนว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจส่งผลต่อกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญในอนาคต และตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ที่ออกมาสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญมีเพียงไม่กี่คน เช่น นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้า พท. นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ ปชน. และนายนิกร จำนง ประธานคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ขณะที่คนอื่น ๆ ในสภาส่วนใหญ่ยังคงนิ่งอยู่ อย่างไรก็ตาม กระบวนการทำรัฐธรรมนูญใหม่ยังผูกกับการทำประชามติ ซึ่งหากจัดทำประชามติในขณะนี้ อาจขาดความชอบธรรม เพราะจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์อาจไม่มากเท่ากับครั้งก่อนที่มีผู้สนับสนุนสูงถึง 16 ล้านเสียง ซึ่งอาจกลายเป็นข้ออ้างให้ สว. ปฏิเสธการสนับสนุน แม้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันจะถูกแก้ไขมาแล้วถึง 7 มาตรา แต่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมยังคงยึดมั่นว่าเป็นฉบับที่ได้มาจากอำนาจพิเศษ จึงต้องการรักษาไว้ และเมื่อการแก้ไขต้องพึ่งเสียง สว. ถึง 1 ใน 3 จึงอาจเกิดทางตันทางการเมือง ซึ่งท้ายที่สุด ฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะเป็นผู้ได้ประโยชน์
นายเทวฤทธิ์ เสนอว่า หากไม่สามารถเรียกร้องจาก สว. ได้โดยตรง ควรหันไปกดดันคณะกรรมการสรรหา ซึ่งประกอบด้วยบุคคลสำคัญจากหลายภาคส่วน เช่น ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และผู้แทนจากศาลต่าง ๆ เพื่อกลั่นกรองไม่ให้บุคคลที่อาจเชื่อมโยงกับฝ่ายอนุรักษ์นิยมเข้ามาเข้าดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ นอกจากนี้ ยังเสนอให้จัดตั้งพรรคอนุรักษ์นิยมใหม่ขึ้นมาเป็นทางเลือกแข่งขันกับกลุ่มการเมืองที่พยายามผูกขาดบทบาทฝ่ายอนุรักษ์นิยมไว้เพียงกลุ่มเดียว พร้อมย้ำว่ารัฐบาลควรจัดทำร่างรัฐธรรมนูญของตนเอง และใช้ทรัพยากรของรัฐในการรณรงค์ให้ประชาชนเกิดความรู้ ความเข้าใจ และมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ซึ่งอาจต้องมีการทำประชามติถึง 3 ครั้ง เพื่อสร้างฉันทามติในสังคม
ณัฐเดช เอียดปุ่ม /ข่าว/เรียบเรียง
ขอบคุณข้อมูลและภาพจากเพจเฟซบุ๊ก: เทวฤทธิ์ มณีฉาย - Bus Tewarit Maneechai