นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าววิทยุรัฐสภา ถึงกรณีที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ออกมายืนยันว่าจะแก้ปัญหาราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าให้ได้ราคา 20 บาทตลอดสาย ทุกเส้นทางภายในเดือน ก.ย. ปี 68 ว่าเรื่องลดค่าใช้จ่ายประชาชนนั้นเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ ตนเองเห็นด้วยแต่ในฐานะฝ่ายค้าน จำเป็นต้องตรวจสอบเรื่องแหล่งที่มาของเงินงบประมาณที่นำมาดำเนินการ ขณะเดียวกันที่ผ่านมาเห็นถึงความพยายามของสมาชิกฝ่ายค้านหลายคนที่ทำประเด็นนี้ และขอบคุณรัฐบาลที่รับฟังข้อกังวลเรื่องการจะนำเงินงบประมาณของประเทศมาอุดหนุนเพื่อแก้ปัญหาราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าให้เฉพาะประชากรในพื้นที่เมืองหลวง ส่วนตัวในฐานะ สส.กทม. รู้สึกไม่สบายใจ และรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมสำหรับประชากรอีกจำนวนมากที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในเมืองหลวง โดยเมื่อมองด้านโครงสร้างแล้วรัฐบาลควรกระจายอำนาจการบริหารไปยังท้องถิ่น ซึ่งกรณีนี้มองว่าเป็นสิ่งที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครควรรับไปดำเนินการไม่ใช่กระทรวงคมนาคม
นายเท่าพิภพ กล่าวต่อไปถึงแนวคิดการเก็บค่าธรรมเนียมรถติด ว่าเป็นแนวทางที่ต่างประเทศได้ดำเนินการมาแล้ว เช่น สหราชอาณาจักร โดยหากประเทศไทยจะดำเนินการต้องศึกษาถึงวิธีการจัดเก็บ และควรดำนเนินการโดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนให้เป็นผู้ติดสินใจต่อกรณีดังกล่าว ส่วนวัตถุประสงค์ของการเก็บค่าธรรมเนียมรถติด เพื่อนำไปเข้ากองทุนสำหรับการซื้อคืนรถไฟฟ้าจากเอกชนนั้น ตนเองตั้งข้อสังเกตว่านี่เป็นการพ้นผิดลอยนวลหรือไม่ เพราะถ้ามองกรณีการต่อสัญญาเดินรถรถไฟฟ้าในครั้งก่อนเมื่อต่ออายุแล้วมีหลายฝ่ายสงสัยว่าการต่อสัญญาดังกล่าว เป็นไปเพื่อผูกขาดกับเอกชนหรือไม่ และเมื่อภาครัฐจะซื้อกลับมาอีกครั้งมองว่าจะเป็นการส่งเสริมผู้มีอำนาจ และรัฐบาลสมัยถัดไปสามารถดำเนินการในลักษณะเช่นนี้อีกทำให้ภาระค่าใช้จ่ายตกอยู่ที่ประชาชน ท้ายที่สุดเรื่องนี้ต้องแก้ปัญหาที่โครงสร้างโดยรัฐบาลต้องเจรจากับผู้ประกอบการ BTS และ MRT ให้รัดกุม และครอบคลุมทุกประเด็น ส่วนด้านการบริหารจัดการจะเป็นรัฐบาล หรือเอกชนบริหารนั้น มองว่าไม่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการจัดเก็บรายได้จากการให้บริการ โดยหลายประเทศที่รัฐบาลบริหารแต่ได้ผลกำไรก็มี หรือเอกชนบริหารและได้ผลกำไรก็มีตัวอย่างให้เห็น เช่นรถไฟ JR ของประเทศญี่ปุ่น ที่เก็บรายได้จากการเช่าพื้นที่ภายในสถานีรถไฟฟ้าเพื่อขายสินค้าหรือบริการต่างๆ โดยรายได้เหล่านี้จะเข้ามาทดแทนราคาค่าโดยสารที่ถูกลง ประเด็นนี้รัฐบาลไทยควรทบทวนว่าเหตุใดจึงไม่สามารถดำเนินการเช่นนั้นได้
นายเท่าพิภพ ยังกล่าวถึงการมีบัตรโดยสารร่วม ว่าไม่ควรมีเพียงขนส่งระบบรางเท่านั้น แต่ควรมีในรถโดยสารประจำทางด้วย และสามารถใช้บัตรเดียวกันในการเชื่อมต่อการโดยสารทุกรูปแบบเพื่อความสะดวกของประชาชน
ณัฐเดช เอียดปุ่ม /ข่าว/เรียบเรียง (แฟ้มภาพ)