13 มิ.ย.67 - ประธานคณะอนุ กมธ. ศึกษาฯ แนวทางการตรา พ.ร.บ. นิรโทษกรรม สผ. เสนอรูปแบบคณะกรรมการนิรโทษกรรมมาจากฝ่ายนิติบัญญัติ เนื่องจากมีความเป็นกลาง และมีความหลากหลายของพรรคการเมือง ย้ำเจตนารมณ์การนิรโทษกรรมไม่ได้เป็นการช่วยเหลือคนที่กระทำความผิดทางการเมืองเท่านั้น แต่ต้องการสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคมด้วย

image

        รศ.ดร.ยุทธพร  อิสรชัย ประธานคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาและจำแนกการกระทำเพื่อประกอบการพิจารณาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม ในคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะ กมธ. วิสามัญ ว่า คณะอนุ กมธ. เสนอรายงานต่อที่ประชุม กมธ. ชุดใหญ่ ที่เสนอไว้ 7 ประเด็น ประกอบด้วย 1.นิยามการกระทำที่มีแรงจูงใจทางการเมือง และกรอบเวลาตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.48 ถึงปัจจุบัน 2. การจำแนกการกระทำที่มีเหตุมีมาจากแรงจูงใจทางการเมือง 3 ประเภทหลัก คือ ในคดีหลัก ได้แก่ เหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการชุมนุม สถานการณ์ฉุกเฉิน และความมั่นคง ส่วนคดีรอง ได้แก่ ความผิดตามกฎหมายจราจร ความสะอาด และเครื่องขยายเสียง เป็นต้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมือง และการกระทำในคดีที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง ได้แก่ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 มาตรา 112 คดีที่มีความผิดต่อร่างกาย ชีวิต เสรีภาพ และการละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นต้น

        รศ.ดร.ยุทธพร กล่าวว่า 3. ทางเลือกที่จะได้รับนิรโทษกรรม ซึ่งคณะอนุ กมธ.เสนอ 3 ทางเลือก ได้แก่ รูปแบบคณะกรรมการนิรโทษกรรม รูปแบบการนิรโทษกรรมโดยไม่ใช้คณะกรรมการ แต่เป็นการใช้กฎหมายที่ยกเว้นความผิด และรูปแบบผสมผสานและระหว่างการมีคณะกรรมการกับการใช้กฎหมาย อย่างไรก็ตาม การนิรโทษกรรมครั้งนี้ มีความยากลำบาก คือ มีระยะเวลาการนิรโทษกรรมที่ยาวนานกว่า 20 ปี และแต่ละบริบทมีความแตกต่างกัน และมีความผิดไม่เหมือนกัน ทำให้ต้องพิจารณาว่าการนิรโทษกรรมแบบใดจะครอบคลุมมากที่สุด 4. คณะกรรมการนิรโทษกรรม ควรมีโครงสร้าง และกลไกการทำงานตรวจสอบ ที่ต้องไม่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น และมีการทำงานที่โปร่งใส 5. กลไกและกระบวนการในการนิรโทษกรรม เนื่องจากคดีความของแต่ละกลุ่มอยู่ในขั้นตอนแต่งต่างกัน อาทิ ราชทัณฑ์ อัยการ และศาล ซึ่งกระบวนการแต่ละชั้นมีวิธีการแตกต่างกัน 6. การเยียวยา ที่ต้องเน้นไปที่สิทธิ ไม่เน้นการเยียวยาทางแพ่ง 7. มาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลที่ได้รับนิรโทษกรรมกระทำความผิดซ้ำอีก โดยจะมีการตั้งคณะอนุกรรมการฯ ดำเนินการตรวจสอบว่ามีการกระทำผิดซ้ำหรือไม่ หากกระทำผิดซ้ำอีก ก็จะมีการตรวจสอบต่อไป

        รศ.ดร.ยุทธพร กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงสร้างของคณะกรรมการนิรโทษกรรม ที่คณะอนุ กมธ. ชุดนี้เสนอนั้น ได้เสนอรูปแบบที่มี ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานคณะกรรมการ และรองประธาน เป็นนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมาย สำหรับเหตุผลที่ให้ฝ่ายนิติบัญญัติมีบทบาทนำในเรื่องนี้ เนื่องจาก ฝ่ายนิติบัญญัติมีอำนาจที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด และมาจากการเลือกตั้ง นอกจากนี้ อำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติมีความหลากหลายของพรรคการเมือง จึงมีความเป็นกลาง และเป็นที่ยอมรับจากสังคมมากกว่าการทำงานของฝ่ายบริหาร ทั้งนี้ คณะอนุ กมธ. ได้เสนอกลไกตรวจสอบการทำงานของคณะกรรมการนิรโทษกรรม ทั้งการตรวจสอบเชิงประสิทธิภาพ โดยมีการกำหนดเป้าหมายทุก 6 เดือน ในการรายงานชี้แจงความคืบหน้าต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร และเปิดเผยต่อสาธารณะด้วย ขณะที่การตรวจสอบความโปร่งใส ได้กำหนดให้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 หรือประชาชนไม่น้อยกว่า 1,000 คน เข้าชื่อ เพื่อให้มีการตรวจสอบหากพบว่ามีความไม่โปร่งใส และมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกลไกของสภาผู้แทนราษฎร

        รศ.ดร.ยุทธพร กล่าวด้วยว่า การประชุมคณะอนุ กมธ. เมื่อวานนี้ (12 มิ.ย.67) ได้สรุปร่างรายงานฉบับนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนตัวเชื่อว่า กมธ.วิสามัญ ชุดใหญ่จะเห็นตามที่คณะอนุ กมธ. เสนอทั้งหมด เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กมธ.วิสามัญชุดใหญ่ได้เห็นชอบไปแล้ว 3 เรื่อง ส่วนร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ที่ภาคประชาชนเสนอ และมีผู้ไม่เห็นด้วยจำนวนมาก ถือเป็นเอกสิทธิของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในการพิจารณา ทางคณะ กมธ.วิสามัญ ไม่มีอำนาจในการปัดตกร่างกฎหมายฉบับใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งกระบวนการพิจารณาของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร สามารถนำข้อเสนอของ กมธ.วิสามัญ ไปใช้ทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้ หรือให้นำไปพิจารณารวมกับร่างกฎหมายนิรโทษกรรมของภาคประชาชนก็ได้ หรือไม่นำร่างกฎหมายที่แต่ละฝ่ายเสนอแล้วยกร่างใหม่ก็ได้ สำหรับการรับฟังความคิดเห็นตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ นั้น สภาผู้แทนราษฎร ควรมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบว่า ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมไม่ได้เป็นการช่วยเหลือคนที่กระทำความผิด หรือผู้ต้องโทษทางการเมืองเท่านั้น ซึ่งเจตจำนงของร่างกฎหมายฉบับนี้ คือ ต้องการสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคม และลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากการเมืองตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

 

ณัฐพล  สงวนทรัพย์  ข่าว/เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ