13 มี.ค.67 - ประธานสภาผู้แทนราษฎร รับยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปฯ ครม. โดยไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 แห่งรัฐธรรมนูญ คาดใช้เวลา 3 วัน ก่อนปิดสมัยประชุมสภาฯ 9 เม.ย.67 ด้านผู้นำฝ่ายค้านฯ ยืนยันเป็นการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

        นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร รับยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 แห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 จากนายชัยธวัช  ตุลาธน ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และตัวแทนพรรคร่วมฝ่ายค้าน ว่า ขั้นตอนต่อไปตนจะส่งเรื่องให้กับสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ดำเนินการตรวจสอบรายชื่อและรายละเอียดของญัตติดังกล่าว ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหา จากนั้นจะนัดประชุมหารือระหว่างตัวแทนรัฐบาล พรรคร่วมรัฐบาล และพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพื่อพิจารณากำหนดวัน เวลา และเนื้อหาที่จะใช้ในการอภิปราย อย่างไรก็ตาม สมัยประชุมสภา จะสิ้นสุดในวันที่ 9 เม.ย.67 คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 3 วัน ก่อนสิ้นสุดสมัยประชุมสภา แต่ก็ขึ้นอยู่กับเนื้อหาสาระที่จะอภิปรายด้วยเพื่อประโยชน์ของทุกฝ่ายโดยเฉพาะประชาชน ขณะนี้เท่าที่ทราบอย่างไม่เป็นทางการทางรัฐบาลต้องการอภิปรายฯ ให้เสร็จสิ้นในช่วงต้นเดือน เม.ย.67 ก่อนปิดสมัยประชุม ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะรัฐบาลได้เตรียมพร้อมในการอภิปรายญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภาเพื่อให้ ครม. แถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีการลงมติตาม มาตรา 153 แห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ในวันที่ 25 มี.ค.67 อยู่แล้ว

        นายชัยธวัช  ตุลาธน ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงสาระสำคัญของญัตติดังกล่าวว่า ด้วย ครม. ภายใต้การนำของนายเศรษฐา  ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้บริหารราชการแผ่นดินเป็นเวลากว่า 6 เดือนแล้ว แต่ไม่ได้ดำเนินการตามที่ได้ให้คำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน และคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาหนี้สินในภาคการเกษตร ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน การลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพลังงานของประเทศ การกระตุ้นเศรษฐกิจ การแก้ไขปัญหาความเห็นต่างเรื่องรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการฟื้นฟูนิติธรรมที่เข้มแข็ง นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีและ ครม. ยังปล่อยปละละเลยให้กลุ่มผู้มีอิทธิพลเอารัดเอาเปรียบประชาชน ระบบราชการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบหรือเกิดการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย มีการทำลายหลักความเสมอภาคเท่าเทียมกันทางกฎหมายและการเมือง ขาดการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น การลดความเหลื่อมล้ำ การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน การปฏิรูปกองทัพ การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ปัญหาการศึกษา และปัญหาสิ่งแวดล้อม การแก้ไขปัญหาอาชญากรรม และยาเสพติด ซึ่งการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลที่ไร้ประสิทธิภาพได้ส่งผลกระทบต่อการฟื้นฟูสภาวะทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ด้วยเหตุนี้ ตน และ สส. พรรคร่วมฝ่ายค้าน จำนวนไม้น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวน สส. ที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร จึงได้ร่วมกันเข้าชื่อเสนอญัตติฯ ดังกล่าวต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร

        นายชัยธวัช กล่าวย้ำว่า การอภิปรายครั้งนี้ ถือเป็นการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมาเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการบริหารราชการแผ่นดินอย่างมีนัยสำคัญ เพราะประชาชนคาดหวังว่า เมื่อมีการเลือกตั้งทั่วไปและได้รัฐบาลชุดใหม่แล้วประเทศจะฟื้นฟูทุกด้าน และภายหลังจากที่รัฐบาลได้ใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินอย่างเต็มที่แล้ว พรรคร่วมฝ่ายค้านก็จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 แห่งรัฐธรรมนูญ ต่อไป โดยเฉพาะนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต และนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เป็นเรือธง จะถูกนำมาอภิปรายอย่างแน่นอน

        ต่อข้อถามผู้สื่อข่าวถึงกรณีที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเอกฉันท์เสนอเรื่องพร้อมความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค จากกรณีก่อนหน้านี้ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์วินิจฉัยว่าการกระทำของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ที่เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แล้วใช้เป็นนโยบายในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการกระทำของพรรคก้าวไกลเข้าข่ายเป็นความผิด มาตรา 92 (1) แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 นั้น จะกระทบต่อการทำงานหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวจะไม่กระทบต่อการทำงานของพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพราะเป็นเรื่องของพรรคก้าวไกลพรรคเดียวที่จะต่อสู้ตามกระบวนการของกฎหมายต่อไป

 

ณัฐพล  สงวนทรัพย์   ข่าว/เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ