18 ต.ค. 68- อนุ กมธ.ด้านการคลัง สว. เร่งแก้ปัญหาวิกฤตขาดทุน “โรงพยาบาลรัฐ” ชี้ “บัตรทอง” จ่ายต่ำกว่าทุนจริง – ภาระค่ารักษาแรงงานต่างด้าวสูง 2.5 พันล้านต่อปี เรียกร้อง สธ. เร่งปรับโครงสร้างการเงิน จัดตั้ง “กองทุนเฉพาะกิจ” ดูแลค่าใช้จ่ายผู้ลี้ภัย/ต่างด้าว หวังระบบสาธารณสุขไทยเข้มแข็งและยั่งยืน

image

        นางสาวชญาน์นันท์  ติยะตระการขัย ประธานคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ด้านการคลัง ในคณะ กมธ. การเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง วุฒิสภา เป็นประธานการประชุม โดยมีวาระพิจารณาศึกษางบประมาณรายจ่ายค่ารักษาพยาบาลภายใต้ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของประเทศไทย โดยเชิญผู้แทนจากสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร เข้าร่วมหารือ สำหรับปัญหาและผลขาดทุนของโรงพยาบาลภาครัฐนั้น ปัจจุบัน โรงพยาบาลภาครัฐในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 902 แห่งทั่วประเทศ กำลังประสบภาวะขาดทุนสะสมอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 มีผลขาดทุนรวมประมาณ 12,000 ล้านบาท และปี 2567 ขาดทุนประมาณ 8,000 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการะค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรและการบริหารจัดการที่สูงขึ้น และงบประมาณที่ได้รับจากสำนักงบประมาณครอบคลุมเพียงร้อยละ 40-50 ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด ส่วนที่เหลือจำเป็นต้องจัดหาจากรายได้ค่ารักษาพยาบาล

        นางสาวชญาน์นันท์ กล่าวด้วยว่า ระบบกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (UC/บัตรทอง) ยังมีอัตราการจ่ายชดเชยค่ารักษาพยาบาลต่ำกว่าต้นทุนจริง โดยเฉพาะการจ่ายในรูปแบบเหมาจ่ายต่อหัว (Global Budget) และการจ่ายตามความยากของโรค (Adjusted RW) ที่มีต้นทุนเฉลี่ยประมาณ 15,000 บาทต่อราย แต่ได้รับชดเชยเพียง 8,350 บาท ส่งผลให้โรงพยาบาลต้องรับภาระขาดทุนสะสมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโรงพยาบาลในสังกัดสำนักแพทย์ กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในสิทธิ์หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสูงสุด ขาดทุนรวมกว่า 1,300 ล้านบาท ส่วนภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพคนต่างชาติและแรงงานต่างด้าว พบว่า กรุงเทพมหานครมีหนี้ค้างชำระจากผู้ใช้บริการเงินสด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าวที่ไม่ซื้อประกันสุขภาพ สูงถึง 16 ล้านบาท โดยคนกลุ่มนี้มักเข้ารับบริการในห้องฉุกเฉินหรือมาคลอดบุตร ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง ขณะที่โรงพยาบาลในพื้นที่ชายแดน 31 จังหวัดภายใต้สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ต้องรับภาระหนี้สูญจากค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถเรียกเก็บจากผู้ป่วยต่างชาติและผู้ลี้ภัยรวมกว่า 2,500 ล้านบาทต่อปี อีกทั้งจำนวนแรงงานต่างด้าวที่ซื้อประกันสุขภาพกับโรงพยาบาลสังกัด กทม. ลดลงอย่างมาก จากประมาณ 50,000 คน เหลือเพียง 20,000 คน โดยมีสาเหตุมาจากการแข่งขันจากโรงพยาบาลเอกชนและการใช้ระบบประกันสุขภาพแบบสมัครใจ ส่งผลให้ผู้ใช้บริการต่างชาติประมาณครึ่งหนึ่งไม่มีหลักประกันสุขภาพที่ชัดเจน นอกจากนี้ ยังพบปัญหาการสวมสิทธิ์และการใช้บัตรซ้ำจากการขาดระบบยืนยันตัวตนที่มีประสิทธิภาพ

        ประธานคณะอนุ กมธ. ด้านการคลัง วุฒิสภา กล่าวถึงข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างและการเงินให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณา ว่า การปรับอัตราการจ่ายชดเชยค่าบริการให้สอดคล้องกับต้นทุนจริง การให้สำนักงบประมาณดูแลเงินเดือนบุคลากรของกระทรวงสาธารณสุขเต็มจำนวน การจัดตั้ง "กองทุนเฉพาะกิจ" เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขจากผู้ลี้ภัยและคนต่างด้าวในพื้นที่ชายแดนโดยเฉพาะ การออกมาตรการบังคับให้แรงงานต่างด้าวทุกคนต้องซื้อหลักประกันสุขภาพ นอกจากนี้ ต้องยกระดับระบบการยืนยันตัวตนด้วยเทคโนโลยีที่มีความแม่นยำสูง เช่น การสแกนม่านตา พร้อมทั้งให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการจัดการข้อมูลและนโยบายแรงงานต่างด้าวอย่างเป็นเอกภาพ ทั้งนี้ คณะอนุ กมธ. ได้ขอข้อมูลเพิ่มเติมจากสำนักแพทย์ กรุงเทพมหานคร เกี่ยวกับงบดุลของโรงพยาบาลในสังกัด รวมถึงเอกสารงานวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์สุขภาพ เพื่อใช้ประกอบการวิเคราะห์และวางแนวทางเชิงนโยบายต่อไป เพื่อร่วมกันหาแนวทางยกระดับความยั่งยืนของระบบบริการสาธารณสุขไทยในระยะยาว

 

ณัฐพล  สงวนทรัพย์  ข่าว/เรียบเรียง

คณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ด้านการคลัง วุฒิสภา  ข้อมูล/ภาพ

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ