การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นพิเศษ ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาแทนราษฎร เป็นประธานการประชุม ให้พิจารณาร่างกฎหมายต่อจากการประชุมสภาฯ เมื่อวันพุธที่ 3 กันยายน ที่ผ่านมา เป็นการลงมติวาระรับหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ พ.ศ. .... ที่เสนอโดยภาคประชาชน และร่าง พ.ร.บ.การรายงานการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมพ.ศ. .... ที่เสนอโดยนางกมนทรรศน์ กิตติสุนทรสกุล สส.ระยอง พรรคประชาชน กับคณะ ซึ่งที่ประชุมให้พิจารณาในคราวเดียวกัน โดยที่ประชุมมีมติรับหลักการร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ และให้ตั้งคณะกรรมการวิสามัญพิจารณา 39 คน กำหนดระยะเวลาแปรญัตติ 15 วัน และให้ร่างที่เสนอโดยนางสาวกมลทรรศน์ เป็นหลักในการพิจารณา
จากนั้น นางสาวแนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี พรรคภูมิใจไทย เสนอให้ที่ประชุมเลื่อนเรื่องด่วนที่ 8 ให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ขึ้นมาพิจารณาต่อ โดยมีผู้รับรองถูกต้อง แต่มีสมาชิกลุกขึ้นอภิปรายคัดค้านและสนับสนุน ซึ่งประธานสภาฯ เปิดโอกาสให้ลงชื่อเพื่ออภิปรายทั้ง 2 ฝ่าย ฝ่ายละ 5 คน รวม 10 คน คนละ 5 นาที ก่อนจะขอมติจากที่ประชุมว่าจะให้เลื่อนวาระดังกล่าวมาพิจารณาก่อนหรือไม่
นายสุรทิน พิจารณ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปไตย อธิบายสนับสนุนให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรีในวันนี้ เนื่องจากประเทศไทยไม่มีนายกรัฐมนตรีมาตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม ที่ผ่านมา เป็นเวลาเกือบ 10 วันแล้ว และยังมีปัญหาด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านความมั่นคงชายแดน อีกทั้งประชาชนยังรอติดตามการถ่ายทอดสดการเลือกนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ที่เป็นความหวังว่าจะมาช่วยเหลือประชาชน
ด้าน พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ อภิปรายไม่เห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่า การจะเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีข้อตกลง ระหว่างพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทยกรณีเรื่องบุคคลที่จะดำเนินงานและรัฐมนตรีเป็นข้อตกลงทางการเมืองที่บ่อนเซาะระบอบประชาธิปไตย โดยข้อตกลงร่วมในข้อ 4 สร้างหลักฐานว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่จะยุบสภาภายใน 4 เดือน จริง ต้องดำเนินการด้วยวิธีการใด ๆ เพื่อให้รัฐบาลเป็นเสียงข้างน้อย ไม่ให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวเป็นข้อตกลงทางการเมืองที่สะท้อนว่าขัดรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรา 49 การกระทำห้ามบุคคลใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง กระทบต่อการตั้งรัฐบาลโดยเสรี จึงอยากให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยข้อตกลงดังกล่าว เพื่อให้ได้ความชัดเจนว่าการเลือกนายกรัฐมนตรีทำได้โดยไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
ขณะที่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ขออภิปรายต่อ เนื่องจากถูกพาดพิงเรื่องข้อตกลงระหว่างพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย ว่า ขณะนี้อยู่ในการอภิปรายเพื่อให้เหตุผลว่าเหตุใดจึงควรเลื่อนการเลือกนายกรัฐมนตรีขึ้นมาพิจารณาก่อน ซึ่งในการอภิปรายช่วงเช้าที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นความสับสนจากสมาชิกที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล สับสนว่าสังกัดพรรคใด สิ่งเหล่านี้เป็นผลมาจากรัฐธรรมนูญที่บิดเบี้ยว จึงต้องการหาทางออก นำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสิ่งที่อยากเรียกร้องกับประธานสภาฯ รองประธานสภาฯ และสมาชิก โดยเฉพาะหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค ตลอดจนผู้บริหารของแต่ละพรรค จะยืนยันว่า หลังจากวาระเลือกนายกรัฐมนตรี จะยังคงอยู่เป็นองค์ประชุม เพื่อพิจารณาร่างกฎหมายอื่น ๆ ต่อไป เพื่อยืนยันกับประชาชนว่าสภาฯ เป็นที่พึ่งหลักให้กับประชาชนได้
ส่วนนายโสภณ ซารัมย์ สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย อภิปรายยืนยันว่า การกระทำของพรรคเป็นไปตามรัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมสภาฯ ซึ่งสถานการณ์เร่งด่วนที่ทราบดีว่าเป็นวิกฤตของประเทศ ต้องมีรัฐบาลที่อาจเรียกว่ารัฐบาลผ่าทางตันก็ได้ และรัฐบาลเสียงข้างน้อยในอดีตก็เคยมีมาก่อน ตนเห็นแย้งเรื่องการบ่อนเซาะประชาธิปไตย และพรรคภูมิใจไทยยึดมั่นในข้อตกลงที่มีต่อพรรคร่วมที่จะสนับสนุนให้พรรคภูมิใจไทยโดยหัวหน้าพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งพรรคไม่ได้กลัวการเลือกตั้งและสิ่งที่พรรคภูมิใจไทยสัญญาไว้ไม่เคยตระบัดสัตย์
ทั้งนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ลุกขึ้นให้คำยืนยันกับผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ว่า พรรคภูมิใจไทยจะอยู่เป็นองค์ประชุมให้การประชุมทุกวาระในวันนี้และในอนาคต ดำเนินไปด้วยความราบรื่น สมเจตนารมณ์ของสมาชิกทุกคน
เมื่อสมาชิกอภิปรายกันครบแล้ว นายไชยา พรหมา รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ได้ให้สมาชิกลงมติว่าจะให้เลื่อนวาระเลือกนายกรัฐมนตรีขึ้นมาพิจารณาก่อนหรือไม่ ปรากฏว่า เห็นด้วย 313 เสียง ไม่เห็นด้วย 143 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 5 เสียง
ทัดดาว ทองอิ่ม ข่าว / เรียบเรียง
