นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะอดีตเลขานุการคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา จะมีวาระพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม โดยเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 จำนวน 2 ฉบับ ทั้งฉบับที่เสนอโดยนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กับคณะ และฉบับที่เสนอโดยนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กับคณะ ระหว่างวันที่ 13-14 ก.พ.68 ว่า ส่วนตัวมีความเห็นว่าโอกาสที่ร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวจะผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภานั้น เป็นไปได้ยาก เนื่องจากยังมีปัญหาจากการปฏิบัติตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 ลงวันที่ 11 มี.ค.64 ที่ระบุว่า หากรัฐสภาต้องการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ต้องจัดให้มีการลงประชามติเสียก่อนว่าสมควรจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ หากประชาชนเห็นชอบด้วยจึงจะจัดให้มีการออกเสียงประชามติอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ประชาชนเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญใหม่ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมายังมีปัญหาการตีความว่าจะต้องมีการจัดทำประชามติจำนวนกี่ครั้ง และมีผู้ไปยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการเพิ่มมาตรา 256/1 เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งเท่ากับเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ดังนั้น จะต้องทำประชามติสอบถามประชาชนก่อน จนทำให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ที่เคยพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256/1 นี้ ต้องชะลอออกไป
นายนิกร กล่าวถึงการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม ของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาครั้งนี้ ว่า ตนมองว่าจะเกิดปัญหาในการพิจารณาว่า รัฐสภาสามารถพิจารณาได้หรือไม่ เพราะยังไม่มีการจัดทำประชามติ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการลงมติของสมาชิกรัฐสภา และในกรณีที่สมาชิกรัฐสภาเดินหน้าลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว ก็ถือว่าความผิดสำเร็จแล้ว และส่วนตัวเห็นว่าเรื่องนี้อาจทำให้มีผู้ยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน และเสี่ยงต่อการถูกร้องเรื่องผิดจริยธรรม
นายนิกร กล่าวถึงร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 ของพรรคประชาชน ว่า ส่วนตัวเชื่อมั่นว่าสมาชิกรัฐสภาจากพรรคชาติไทยพัฒนา จะไม่ลงมติให้ เนื่องจาก มีการแก้ไขสาระสำคัญของบทบัญญัติในมาตรา 256 (8) ที่เปิดช่องให้สามารถแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 ได้ ซึ่งขัดกับหลักการของพรรคร่วมรัฐบาล ที่จะไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 ซึ่งพรรคชาติไทยพัฒนาในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลจะไม่ลงมติเรื่องนี้อย่างแน่นอน ซึ่งไม่รวมความเห็นชองพรรคอื่น ๆ และความเห็นของวุฒิสภาย่อมเกิดปัญหาตามมาแน่นอน ส่วนหลักการการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่พรรคประชาชนเสนอในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มีการลดทอนอำนาจของวุฒิสภา ในการพิจารณาวาระแรกที่ให้ใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งเช่นเดียวกับการพิจารณากฎหมายทั่วไป โดยไม่ต้องอาศัยเสียงวุฒิสภา 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกวุฒิสภาเท่าที่มีอยู่ ซึ่งตนเองไม่เห็นด้วย เพราะรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายแม่มีความสำคัญสูงกว่ากฎหมายฉบับอื่น ๆ จะต้องไม่สามารถแก้ไขได้ง่าย แต่ไม่ถึงขั้นแก้ไขไม่ได้ รวมถึงยังมีปัญหาที่มาของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่พรรคประชาชนต้องการให้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดซึ่งยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ ดังนั้น ตนจึงมั่นใจว่า โอกาสที่ร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติมครั้งนี้ความผ่านความเห็นชอบนั้น เป็นไปได้ยากถึงยากมาก ขณะที่หากจะมีการทำประชามติในเวลานี้ก็ต้องพิจารณาด้วยว่าจะใช้กฎหมายประชามติฉบับใด เนื่องจากร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติฯ ที่แก้ไขเพิ่มเติมยังติดล็อกอยู่ 180 วัน ต้องรอการบังคับใช้ ซึ่งคาดว่าอย่างน้อยต้องรอจนถึงเดือน ก.ค.68 ถ้าระหว่างนี้หากจะจัดให้มีการออกเสียงประชามติ ก็จะต้องใช้กฎหมายเดิม ซึ่งเป็นระบบเสียงข้างมาก 2 ชั้น (Double Majority) ซึ่งส่วนตัวยังไม่มั่นใจว่าหากเดินหน้าทำประชามติในเวลานี้จะผ่านหรือไม่
ณัฐพล สงวนทรัพย์ ข่าว/เรียบเรียง